วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

“ซื้อรถอะไรดี” ซื้อยังไงไม่ให้ “ชอกช้ำระกำใจ” สำหรับคนซื้อ รถคันแรก


นโยบาย “รถคันแรก” ที่ทำเอาคนเราตาโตเป็นแถว คนที่อยากจะมีรถคันแรกก็รีบหาเงินมาซื้อกัน แล้วรอเงินคืน หรือบางคนก็อยากจะซื้อรถเพื่อเอาส่วนลดที่ว่านี้ ก็มีการซื้อในนามของ พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติ ที่ยังไม่มีชื่อในการเป็นเจ้าของรถ แต่ทว่า การซื้อรถนั้น มันไม่ได้จำกัดเพียงว่า “ซื้อ ซื้อ ซื้อ” แล้วมันจะจบนะครับ !!! มันมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ที่ต้องคำนวณ หลังจากเริ่มซื้อรถมา ใช้ไป มันต้องมีอะไรตามมาหลังจากนั้นบ้าง ??? และสำคัญที่สุดคือ “สภาพคล่องของคนซื้อจะไหวหรือเปล่า” บางคนก็ซื้อรถมาใช้งานได้คุ้มค่า บางคน หรือหลายคน ก็ซื้อรถมากลายเป็น “ภาระ” แล้วจะซื้อรถดีไหม แล้วจะซื้อรถอะไรดี ถึงจะเดือดร้อนน้อยสุดล่ะ ???



จำเป็นแค่ไหนที่ต้องซื้อรถ ???
คำถามนี้ คุณต้องถามตัวเองก่อนนะครับ จำเป็นแค่ไหน และจำเป็นจริงหรือไม่ที่จะต้องซื้อรถ ??? และควรจะต้องตอบตัวเองด้วย ไม่ต้องถามคนอื่นหรอก ไม่มีประโยชน์ เพราะคนอื่นมันก็ต้องยุให้คุณซื้อนั่นแหละ โดยเฉพาะเพื่อนฝูงทั้งหลายนี่ตัวดี พูดกันตรงๆ เขาก็อยากให้คุณซื้อรถ เพราะอยากจะอาศัยรถคุณไปนั่นมานี่นั่นแหละ หลายคนซื้อรถเพราะ “ลูกยุ” ผมเชื่อว่าเป็นส่วนมากนะครับ หรือบางทีก็เห็นแก่ส่วนลด ซื้อมาเลยก็มี ตรงนี้คุณควรคิดบ้าง และอย่านำความ “อยาก” มานำความ “คิด” ลองถ้าได้อยากซะแล้วอะไรก็เอาไม่อยู่ (ก็กูจะซื้อง่ะ) นี่แหละที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา

รถคันแรก

กรณีที่ยังไม่เคยมีรถ ลองถามตัวเองว่า ชีวิตขณะที่ไม่มีรถแล้วคุณเดือดร้อนหรือเปล่า ??? บางคนอยู่ใกล้ที่ทำงาน วันหยุดก็เอาแต่นอนอยู่บ้าน ออกไปก็แค่ใกล้ๆ ไปทำงานก็ขึ้นรถไฟฟ้าไป กลับบ้านก็รถไฟฟ้ากลับ สะดวกจะตาย ไม่มีครอบครัว หรือสาวใดมีแฟน แฟนมีรถ จะไปไหนก็ให้แฟนมารับยังงั้นก็ดี (มีแฟนก็ต้องให้ช่วยเราได้สิ ไม่งั้นจะมีทำไม ถูกมะ) เรียกว่าไม่มีรถก็ไม่เดือดร้อน สรุปสั้นๆ ว่า “ไม่ต้องซื้อก็ได้” จบนะ ไม่ต้องเวิ่นเว้อให้เปลืองกระดาษ

กรณีตรงข้าม ตัวเองเดือดร้อนกับการเดินทาง รถสาธารณะแม่มก็โคตรจะห่วย ชีวิตหาความปลอดภัยไม่มี ต้องเดินทางไกล ทำงานไกล กลับมืด บ้านเข้าซอยลึก ค่อนข้างเปลี่ยว ต้องไปเยี่ยมพ่อแม่ พาลูกเมียไปเที่ยว ฯลฯ อันนั้นก็ “ซื้อได้ครับ” เข้าใจครับว่าคนเราก็มีความจำเป็นที่ไม่เหมือนกัน เพียงแต่ถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็ซื้อเถอะครับ ถ้ามีเงินพอจะผ่อนส่งค่างวดได้นะ และด้วยเรื่องค่างวดค่านั่นค่านี่ เราต้องมาคุยกันต่อในวรรคต่อไปไงล่ะครับ…

รถยนต์แบบ MPV หรือ Multi Purpose Vehicle จะต่างกับรถ SUV ตรงที่ว่า ไม่ได้ผลิตมาเผื่อลุย พื้นฐานก็รถเก๋งทั่วไปนี่แหละ เพียงแต่ทำเป็นทรงรถตู้ เพื่อให้ใช้งานได้อเนกประสงค์ ในบ้านเรารถแบบนี้ตัวเลือกจะค่อนข้างน้อยอยู่ไม่กี่ค่าย ถ้ามีครอบครัวใหญ่หน่อย ประมาณ 5-7 คน ก็ถือว่าเหมาะสมดี



ซื้อรถอะไรดี ???
ปัญหาโลกแตกครับ ปัญหายอดฮิตประจำชาติ “ซื้อรถอะไรดี” บอกตรงๆ เป็นคำถามโคตรง่ายที่ตอบยากที่สุด ทำไมน่ะหรือ ??? แล้วผมจะรู้กับคุณไหมล่ะครับ ว่าคุณชอบรถอะไร คุณมีเงินเดือนเท่าไหร่ คุณมีปัญญาซื้อรถราคาขนาดไหนดี สีอะไรที่ชอบ คุณต้องการใช้แบบไหน ครอบครัว ส่วนตัว ฯลฯ แต่บางทีก็จนด้วยเกล้า รถมีมากมายให้เลือก ไม่รู้จะเลือกรถอะไรดี เอาล่ะ ผมก็มีคำแนะนำมาเป็นข้อๆ เพื่อจะได้คำตอบที่แคบขึ้น

“มีเงินอยู่เท่าไหร่” ถ้า “ซื้อเงินสด” ก็ง่ายหน่อย มีงบแน่นอนเท่าไรก็โยนลงไปเลย อันนี้ไม่ยากเพราะเงินมันเป็นตัวบังคับอยู่แล้ว แต่ก็เผื่อไว้นิดหน่อยนะ อย่าซื้อรถที่พอดีงบจริงๆ ประเภทต้องแคะกระปุกทุกบาททุกสลึงมาซื้อ เพราะรถในแต่ละรุ่น มันก็มีหลายราคาให้เลือก บางทีซื้อรุ่นท๊อปแล้วตึงมือ ก็ยอมซื้อรุ่นรองๆ มาหน่อยก็ได้มั้งครับ ขอให้มีเงินเหลือบ้าง เพราะการซื้อรถ มันต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นจิปาถะอีกมากมาย จดทะเบียน ค่าประกัน ค่าติดฟิล์มกรองแสง ค่าห่….เหว……อะไรก็ตามแต่ บางคนซื้อมาก็หาเรื่อง “แต่ง” ก็ต้องใช้เงินอีก (ล้อแม็กน่ะโดนก่อนเลย) เพราะฉะนั้น ควรจะซื้อรถแล้วมีเงินเหลืออยู่บ้าง เพื่อเผื่อค่าใช้จ่ายไอ้อย่างที่ว่ามาอีกจะได้ไม่ตึงมือเกินไป

ถ้าเกิดซื้อ “ผ่อน” อันนี้จะต้องคิดยาวๆ หน่อยนะครับ ส่วนใหญ่เงินไม่พอถึงต้องผ่อนนั่นแหละ และส่วนใหญ่ก็มักจะซื้อรถที่แพงเกินฐานะ ถือว่าผ่อนได้ไงล่ะ ตรงนี้คุณก็ต้องพิจารณาจากรายได้ของคุณเอง ว่ามีปัญญาจะผ่อนไหวไหม ถ้ารู้สึกหวั่นไหวว่าจะ “ร่วง” ก็ไปผ่อนไอ้รถรุ่นถูกกว่าก็ได้ อย่า “หน้าใหญ่ใจโต” ให้มากนัก เดือดร้อนเองแล้วจะรู้สึก ผ่อนไม่ไหวโดนยึดกันมามากมายแล้วคงไม่ต้องบอกกันมากนะ ไหลไปเรื่อย เข้าประเด็นที่ว่า “ซื้อรถอะไรดี” เมื่อเราจัดสรรงบประมาณได้เรียบร้อย จะผ่อนหรือสดก็ว่ากันไป ก็ลองมาเลือกดูถึง “ความต้องการของแต่ละคน” มันไม่เหมือนกันนะครับ ต้องถามตัวเองเป็นหลัก ยกตัวอย่าง ถ้าเป็นคนที่เน้นใช้งานในเมืองเป็นหลัก มีครอบครัวเล็ก พ่อ แม่ ลูก ไม่เกินสี่คน ชอบความประหยัด ฐานะปานกลาง จัดไปเลยครับ ECO CAR ตรงเป้าที่สุด หรือถ้าเอาใหญ่มาอีกหน่อย ก็รถเก๋ง 1,500 ซีซี อันนี้จะออกต่างจังหวัดได้มั่นใจกว่า ECO CAR ไปอีกระดับ จริงๆ แล้ว ECO CAR มันก็ไปทางไกลได้แหละ อย่าไปเชื่อว่ามันวิ่งทางไกลไม่ได้ “รถอะไรก็วิ่งได้ ถ้ามันสมบูรณ์” ไม่ตายกลางทาง ต่อให้โคตรรถ Luxury คันละหลายล้าน หรือกว่าสิบล้าน แต่ดันมีปัญหาอะไรสักอย่างจอดเดี้ยงริมถนนก็เยอะแยะไป เพราะฉะนั้นควรจะเลิกกังวลกับความคิดปัญญาอ่อน ว่า ECO CAR วิ่งทางไกลไม่ได้ มันไปได้ครับ แต่อย่าไปเร็วเกินไปนัก ก็เห็นคนขับ ECO CAR ไปสุดเหนือสุดใต้เยอะแยะไป แต่พวกเขาขับกันอย่าง “มีสติ” ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ ตรงกันข้ามขับซูเปอร์คาร์เทพๆ ทุกอย่างโคตรสุดยอดเลยว่ะ แต่ขับด้วยความไร้สติ กลับมาแต่เถ้ากระดูกก็มีให้เห็นอยู่เยอะแยะ

ส่วนคนที่ต้องการรถใช้งานแบบค่อนข้างสมบุกสมบันหน่อย ชอบออกต่างจังหวัด ชอบ Activity ต่างๆ และมีเงินมากพอ ก็ควรจะมอง “รถกระบะ” หรือ “รถอเนกประสงค์” ไว้จะดีกว่า อย่างรถกระบะหรือรถอเนกประสงค์สมัยนี้มันก็มีสมรรถนะดี แถมประหยัด (ถ้าไม่บ้าเหยียบมากไปนะ) เดี๋ยวนี้กระบะ 4 ประตู ก็โดยสารได้สบาย “แอร์เย็น เพลงเพราะ” เหอะว่างั้น ขับสบาย มีเกียร์ออโต้ให้เลือกใช้อีก มันก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าซื้อรถเก๋งที่ได้เรื่องขับดี นุ่มนวล แต่การใช้งานและความแข็งแกร่งสู้รถพวกนี้ไม่ได้ครับ ปัจจุบัน คนที่ใช้รถเก๋ง หันมาใช้รถพวกนี้กันมากจริงๆ เพราะความอเนกประสงค์ของมันนั่นแหละครับ



จะเลือกอะไรดี ??? ก็เลือกรถที่คุณชอบสิ !!!
หลังจากที่ได้รถในใจแล้ว บางคนก็ตัดสินใจง่าย เพราะมี “ตัวเลือกเดียว” อันนั้นผมไม่ค้านครับ เพราะมันอยู่ที่ความอยากได้ของคุณ หรือพวกเหล่า “จงรักภักดีในตราสินค้า” หรือ “Brand Royalty” ที่ฝรั่งว่าไว้ อันนี้ผมไม่พูดถึง เพราะถ้าชอบและซื้อไหวก็เอาเลย เพราะยังไงคุณก็ตั้งใจ “เอาอยู่” แล้ว แต่จะมีคนส่วนใหญ่ที่ “หลายใจ” เพราะรถระดับเดียวกันมันก็มีตั้งหลายยี่ห้อ ไอ้ยี่ห้อ “โตโยเย” ก็อยากได้ ไอ้ยี่ห้อ “นิดสั้น” ก็ไม่เลว ไอ้ “ฮอนดู้” ของแต่งมันเยอะดี ไอ้ “มิฮูมิฮิ” เซลส์มันสวยฉอเลาะดีว่ะ ฯลฯ เกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง เลือกไม่ถูกซะงั้น

ยิ่งไปฟังข้อมูลมาจากหลายฝ่าย ไอ้เรื่องข้อมูลทั่วไป ผมถือว่าเป็น “เครื่องประกอบการตัดสินใจเท่านั้น” เพราะคนที่ชอบยี่ห้อนั้น ยังไงเขาก็เชียร์เข้าข้างตัวเอง แต่ก็จะมีคนที่เป็นกลาง พร้อมจะเปิดเผยข้อมูลว่ามีอะไรดี มีอะไรเสียบ้าง พวกเว็บไซต์ คาร์คลับต่างๆ ที่ “ดูเป็นทางการและดูมีสาระ” ไม่ใช่ตั้งเห่อๆ แบบบางเว็บตั้งโดยเด็กหัดซิ่งเกรียนๆ คุยกันโคตรไร้สาระ บ้าพลังคลั่งแต่แรงก็อย่าไปอ่านแม่มมัน เหล่านี้จะให้ข้อมูลคุณได้ สมมติคุณอยากจะได้รถรุ่นนี้แน่ๆ ก็ลองเข้าไปในคลับรถรุ่นนั้นดู เขาจะมีห้องข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ประสบกันมา ก็จะมีสมาชิกที่พบปัญหาเข้ามาอัพเดตกัน (บางทีก็ด่าด้วยความคับแค้น) คุณลองเข้าไปอ่านและตัดสินใจดูเอง

เพราะฉะนั้น “เลือกรถที่คุณชอบที่สุด” แน่นอนครับ รถคุณเป็นคนซื้อ เงินก็เงินของคุณ และคุณต้องเป็นคนที่ใช้มัน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่ชอบรถรุ่นนั้น แต่ดันซื้อมาเพราะแรงเชียร์ หรือ Inspiration แรงบันดาลใจบ้าบออะไรต่างๆ ที่มาทำให้คุณ “เขว” บางทีก็ฟังมากไป เชื่อคนอื่นมากไป เจอแรงยุที่ไม่ได้มีเหตุผล นี่ จะบอกให้ บางคนหลงเสน่ห์ “เซลส์สวย” ลูกล่อลูกชนดี พูดจาเอาอกเอาใจคะๆ ขาๆ ขาๆ คะๆ กล่อมให้เคลิ้มก็คิดว่าเอาวะ งานนี้หลวมตัวไปแล้ว ก็ด้วยไอ้เหตุผลทั้งหลายทั้งปวงนี่ทำให้คุณเหมือน “จำใจซื้อ” คุณก็ใช้รถคันนั้นอย่างจำใจ รถยนต์นะครับ ไม่ใช่รถของเล่น ที่เบื่อก็จะทิ้งขว้างซื้อคันใหม่ เพราะฉะนั้น “ซื้อไอ้ที่คุณชอบและจ่ายไหว” จะดีที่สุดครับ เชื่อผมเถอะ



Nobody’s perfect
ผมจะบอกอย่างหนึ่งว่า รถยนต์ที่ขายกันสมัยใหม่นี้ “ต่างก็มีมาตรฐานเดียวกัน” ทุกยี่ห้อต้องผ่านการทดสอบ ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ (QC) อยู่แล้ว เพราะงั้นด้วยความที่เป็นรถใหม่ มันก็โอเคอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม “โนบอดี้เพอร์เฟค” ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบทุกอย่าง รถทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ต่างก็ย่อมมี “จุดเด่น จุดด้อย” เช่นกัน ต่อให้แพงโคตรๆ ก็ย่อมหนีสัจธรรมนี้ไปไม่พ้น มันพูดลำบากครับ ไอ้ที่เห็นมาทุบรถประท้วง หรือด่าประจานออกสื่อต่างๆ มันก็มีแทบทุกยี่ห้อ รถถูกไปยันแพง รถที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนมากๆ ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา เมืองนอกเขาเรียกรถที่มีปัญหาไปเคลมกันอยู่บ่อยๆ แต่บ้านเราอาจจะ “ขาดความรับผิดชอบ” ก็เลยมีการโวยวายกันเกิดขึ้น

ดังนั้น ถ้าคุณชอบรถยี่ห้อไหน รุ่นไหน ก็ลองหาข้อมูลใน “ด้านลบ” ดูหน่อย ถ้ามันไม่ได้มากมายอะไรนัก สามารถแก้ได้ง่ายและจบ ไม่มีดาบสองดาบสามตามมา และศูนย์บริการรับผิดชอบดีก็ซื้อได้ครับ จะไปหวังรถดี 100 % ไร้ข้อบกพร่องเลยในโลกนี้ไม่มีหรอก รถใหม่ส่วนใหญ่ก็ใช้ดีไม่มีปัญหา แต่บางคันในรุ่นเดียวกัน ซื้อไล่ๆ กัน อาจจะมีปัญหา แถมแต่ละคันยังเจอปัญหาไม่เหมือนกันอีก ตรงนี้ก็ต้องทำใจถ้าดันไปเจอคันนั้นเข้า แต่ถ้ามันมีปัญหามาก ทั้งตัวรถที่มีปัญหาซ้ำซาก แก้ไขไม่ได้ หรือไม่แก้ไข ทำให้อาจจะเกิดอันตรายกับชีวิตได้ และศูนย์บริการก็เสือกไร้ความรับผิดชอบอีก สรุป “มีคนด่ามากกว่ามีคนชม” อันนั้นหายี่ห้ออื่นเหอะครับ



“รถ” มันก็คือ “ลด” ความจริงที่โหดร้าย รับไหวหรือเปล่า ???
รถ กับ ลด ออกเสียงเหมือนกัน มีรถ มันก็ต้องมาลดเงินในกระเป๋าเรา อย่าคิดสั้นๆ เพียงแค่มีค่าผ่อนไปแต่ละงวด (อย่างรวยริน) แค่นั้นนะครับ จริงอยู่ บางคนบอกรถใหม่ มีตังค์ผ่อนกับเติมน้ำมันพอแล้ว แถมยังมีระยะรับประกันอีก เจ๊งอะไรก็เคลมซะจะไปกลัวอะไร แล้วไม่คิดมั่งเหรอครับ ??? ว่ารถใช้ไปมันก็มี “ค่าสึกหรอ” ตามมาในอนาคต เช่น ค่าบำรุงรักษา น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ ใช้ไปๆ ยางก็หมด ต้องหาที่ผ่อนค่ายาง 0 % อีก ค่าน้ำมันที่จะแพงขึ้นทุกวัน ค่าที่จอดรถ บ้านไม่มีที่จอดก็ต้องแห่ไปเช่าที่จอดต่างหาก ค่าประกัน ราคาขายต่อในอนาคตว่าจะตกแค่ไหน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คุณต้องพร้อมจ่ายถ้าจะใช้รถ ฟังแค่นี้ก็มึนแล้ว

นี่ๆ อันนี้ปัญหาคลาสสิคเลยนะ บางคนมีงบจำกัด แต่ดัน “หน้าใหญ่ใจสปอร์ต” ซื้อรถเกินฐานะ กะว่า “ผ่อนตึง” ก็รอลุ้นเอาวะ มีเยอะนะครับ เงินเดือนขนาดมีปัญญาผ่อน ECO CAR สบายๆ เงินเหลือๆ ประหยัดน้ำมันดีๆ ไม่ชอบ แต่ดันจะเอารถคันละเกือบล้าน รุ่นธรรมดาไม่ว่า ดันจะเอารุ่นท๊อป ประมาณว่ากูต้องท๊อปฟอร์มไว้ก่อน แต่เบื้องหลังกระอัก ผ่อนแพง ค่าบำรุงรักษาสูง กินน้ำมันมากขึ้น ที่ผมเรียกว่า “ผ่อนตึง” ยังไงล่ะ มันไม่ผ่อนอ่ะ มันตึงอ่ะ เงินเดือนที่ได้มาก็ผ่อนรถเกือบหมด นี่ยังไม่นับรวมค่าครองชีพอย่างอื่นเลยนะ เจอค่าบำรุงรักษาเข้าไปทีก็หน้ามืด ชักหน้าไม่ถึงหลัง มาม่านี่ของโปรด อย่าหัวเราะเพราะเคยเจอคนรู้จักที่เจอแบบนี้เข้าไป ตังค์เติมน้ำมันแทบจะไม่มี ไปไหนก็ไม่ได้นอกจากไปทำงานกลับบ้าน เฮ้อ อะไรจะขนาดนั้น ผ่อนไอ้ที่มัน “สบายเรา” ดีกว่าไหม ยอมลดอีโก้ลงมาหน่อย ขับรถถูกๆ สบายๆ ไม่เครียด หรือจะขับรถหรูดูดี แต่มีมีดปักหลัง ??? รถของท่าน เงินของท่าน ท่านผ่อนเอง จะผ่อนสบายๆ หรือผ่อนตึงหน้าดำคร่ำเครียด ก็เลือกเอาเองนะครับ สวัสดี