วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตามมาติดๆกับ A-class ตัวล่าสุด Mercedes A45 AMG


Mercedes A45 AMG


หลังจากปล่อย A-Class เวอร์ชั่นล่าสุดออกสู่ตลาดไปไม่นาน ทางสำนัก AMG ก็จัดของแรงออกมาให้ลูกค้ากระเป๋าหนักเตรียมเป็นเจ้าของทันทีกับ Mercedes A45 AMG ที่เล่นแรงด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบ 360 แรงม้า พร้อมแรงบิด 450 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยระบบ AMG 4MATIC All Wheel Drive ปั่นอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 4.6 วินาที ทะลุไปสู่ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วที่ล็อคเอาไว้ นอกจากพละกำลังอันทรงอานุภาพแล้ว A45 AMG ยังมีอัตราสิ้นเปลืองที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย โดยตัวเลขที่ต้นสังกัดเคลมไว้อยู่ที่ 6.9 ลิตร/100 กม. ทั้งยังมีความสะอาดตามมาตรฐานไอเสีย EU6 อีกด้วย เคล็ดลับความเร้าใจนั้นมาจากการถ่ายทอดเทคโนโลยี BuleDIRECT ลงมาใน A45 AMG เช่น ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Spray-Guided ด้วยหัวฉีด Piezo Injectors รวมถึงการปรับปรุงระบบจุดระเบิดใหม่ เพื่อให้เกิดการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งยังรวมไปถึงการปล่อยค่ามลพิษที่ต่ำอีกด้วย

Mercedes A45 AMG


ไฮไลต์อื่นๆ ของเทคโนโลยีนี้ก็คือ การใช้อ่างน้ำมันที่ทำจากอลูมิเนียมผสม ส่วนข้อเหวี่ยงนั้นทำขึ้นจากเหล็กหล่อ เช่นเดียวกับลูกสูบที่ลดการเสียดสี และการสึกหรอ โดยการเคลือบสาร NANOSLIDE ไว้ที่ผนังห้องเผาไหม้ ติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ และติดตั้งระบบ ECO Start/Stop มาให้เป็นมาตรฐาน ระบบอัดอากาศเป็นแบบ Twin-Scroll ตั้งกำลังอัดการบูสต์เอาไว้ที่ 1.8 บาร์ มาพร้อมกับชุดทางเดินไอเสียจาก AMG และมีการปรับจังหวะการเปิด-ปิดวาล์วไอเสียใหม่ โดยชุดระบบไอเสียนี้หยิบยืมมาจาก SLK 55 AMG ส่วนระบบระบายความร้อนที่กล่าวถึงไปนั้นใช้เทคโนโลยีเดียวกับ SLS AMG โดยติดตั้ง Inter cooler ขนาดใหญ่ไว้ด้านหน้า เสริมด้วย Cooler ตัวเล็กไว้ในซุ้มล้อ ติดตั้งปั๊มไฟฟ้าไว้ด้านหลังพอร์ตไอดี เพื่อให้สามารถดึงเอาน้ำไประบายความร้อนได้อย่างรวดเร็วขึ้น ส่วนระบบหล่อเย็นชุดเกียร์นั้นก็จะมีปั๊มอีกหนึ่งตัวแยกต่างหาก สำหรับการดึงน้ำมาระบายความร้อยนให้กับชุดเกียร์ AMG Speedshift DCT 7 สปีด คลัทช์คู่ ที่ส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อทั้ง 4 แบบ All Wheel Drive และมีฟังค์ชั่น Race Start ติดตั้งมาให้เพื่อเพิ่มความเร้าใจขณะออกตัว มีโหมดการขับขี่ C – Controlled Efficiency และ S – Sport ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน และเพิ่มโหมด M (Manual ) ที่ต้นสังกัดเรียกมันว่า Momentary มาให้สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการ Shift Up-Down เกียร์ด้วยตัวเอง โดยทั้งโหมด S และ M นี้ได้ถูกปรับแต่งให้บุคคลิก และอารมณ์แบบเดียวกับ SLS AMG GT ทั้งสมรรถนะการขับขี่ การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็ว หรือแม้กระทั่งลุ้มเสียงสุดเร้าใจ ในขณะที่โหมด C – Controlled Efficiency จะเป็นอารมณ์ของการเปลีย่นเกียร์ที่นุ่มนวล ขับขี่สบาย และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำ จากการทำงานของระบบ ECO Start/Stop

Mercedes A45 AMG

ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4MATIC all-wheel drive เซ็ทอัพโดยเน้นสมรรถนะการขับขี่ ซึ่งระบบขับเคลื่อนชุดนี้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่พัฒนาขึ้น ซึ่งลดน้ำหนักลงได้ถึง 25% เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่น โดยมีอัตราการกระจายแรงขับเคลื่อนอยู่ที่ 50:50 เสริมเสถียรภาพการขับขี่ด้วยระบบ Three-stage ESP® ที่สามารถเลือกจัดหนักด้วยการปิด ESP Off-On หรือ Sport Handling ได้ ทั้งยังมีระบบ ESP® Curve Dynamic มาช่วยเพิ่มความมั่นใจในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงยกระดับความปลอดภัยขึ้นไปอีกหนึ่งสเตป

Mercedes A45 AMG


ชุดช่วงล่าง AMG Sport ใช้พื้นฐานระบบอิสระ 3-ลิงค์ด้านหน้า และ 4-ลิงค์ในด้านหลัง พร้อมการปรับปรุงยกระบบ เช่น ปรับเซ็ทโช๊คอัพ และสปริงให้แข็งขึ้น เปลี่ยนไปใช้เหล็กกันโคงขนาดใหญ่ขึ้น ติดตั้งซับเฟรมเพื่อความแข็งแกร่ง ใส่ล้ออัลลอยด์ AMG ลายก้านคู่สีเทา Titanium Grey ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางซีรี่ส์ 235/40 มาเป็นมาตรฐาน ควบคุมเฉียบคมด้วยชุดพวงมาลัย AMG Speed-Sensitive Sports อัตราทด 14.5:1 และชุดเบรกสมรรถนะสูง AMG High-Performance Braking System ที่อัพเกรดขนาดจานหน้าเป็น 350 x 32 มม. ด้านหลัง 330 x 22 มม.

จากเทคโนโลยีความแรงสู่ความโดดเด่นของรูปลักษณ์ที่สร้างสรรค์ชึ้นด้วยผลงานของสำนัก AMG เช่นเดียวกัน โดยจะประกอบด้วย กระจังหน้าทรง Twin Blade คาดกลางด้วยเส้นคู่สีเทา Titanium Grey สู่โลโกดาวสามแฉกขนาดใหญ่ตรงกลาง ส่วนด้านหลังเพิ่มความสปอร์ตด้วยชุดกันชนที่มี Diffuser ในตัวรับกับท่อไอเสียโครเมี่ยมทรงเหลี่ยมทั้ง 2 ฝั่ง สำหรับภายในห้องโดยสารสะดุดตากับเบาะนั่งสปอร์ตจาก ARTICO หุ้มด้วยหนัง DINAMICA ผสมผสานกับผ้าไมโครไฟเบอร์เดินด้ายแดงคู่ สะดวกสบายด้วยพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย แผงแดชบอร์ดเร้าใจด้วยคาร์บอนไฟเบอร์เน้นความเด่นด้วยกรอบช่องแอร์สีดำ-แดงทั้ง 4 ช่อง เข็มขัดนิรภัยสีแดงสด กาบบันได AMG ซึ่งรวมถึงมาตรวัดสุดเร้าใจสไตล์ AMG ที่มากับฟังค์ชั่น Racetimer อีกด้วย


รถ รุ่น ใหม่ Seat Leon SC ตัวแรงสัญชาติสเปน


รถ รุ่น ใหม่ Hot Hatch ตัวแรงสัญชาติสเปนอย่าง Seat เผยรายละเอียด Leon SC เวอร์ชั่นล่าสุด โดยลักษณะทางกายภาพนั้นยังคงถอดแบบมาจากอนุกรม Leon 5 ประตูมาอย่างครบถ้วน แล้วเสริมความเป็นสปอร์ตเข้าไปด้วยด้วยการขยับฐานล้อให้สั้นลงอีก 35 มม. ทำให้ รถ รุ่น ใหม่ Seat Leon SC มีความยาวตัวรถที่ 4.23 ม. โอเวอร์แฮ็งค์หน้า-หลังปรับให้สั้นกระชั้น พร้อมดึงขอบกันชนหลังให้ต่ำลงอีกระดับ เพื่อเน้นความเป็นสปอร์ต และทรงพลังมากขึ้น

รถ รุ่น ใหม่ Seat Leon SC


ในมุมมองด้านหน้าใช้ลักษณะของ Arrow Face มาเป็นแนวทางในการดีไซน์ ซึ่งจะสังเกตถึงเส้นสายในการออกแบบทั้งหมดจะมุ่งไปที่ด้านหน้าของรถเป็นหลัก โดยเส้นสายการดีไซน์นั้นจะใช้ทรง 3 เหลี่ยมมาเป็นส่วนประกอบสำคัญ เช่น งานออกแบบรูปทรงของไฟหน้า ที่มีออพชั่นชุดไฟ LED เต็มระบบเพื่อเสริมความโดดเด่น โดยเทคโนโลยีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ติดตั้งลงในรถพิกัด Compact Car Segment อีกด้วย

ในด้านข้างเหล่าดีไซเนอร์พยายามถ่วงสมดุลย์ระหว่างเนื้อโลหะ และกระจกอย่างเหมาะสม โดย 1 ใน 3 คือพื้นที่กระจก และ 2 ใน 3 คือพื้นผิวตัวถัง เพิ่มจุดเด่นด้วยเส้นสายเฉียบคมที่ในภาษาสเปนเรียกว่า Línea Dinámica หรือเส้นสายแบบไดนามิก ในส่วนของเหนือซุ้มล้อหลัง แนวเส้นหลังคามีการปรับให้ลาดเอียง เพื่อเพิ่มอารมณ์ของรถคูเป้มากขึ้น นอกจากนี้โมเดล Leon นี้ยังมีเป็นรุ่นแรกที่ได้ประทับตราโลโก้ Seat รุ่นใหม่ทั้งด้านหน้า ในตำแหน่งดุมล้อรถ ด้านหลังรถ แล้วก็กึ่งกลางพวงมาลัย

รถ รุ่น ใหม่ Seat Leon SC


ภายในห้องโดยสารนั้นก็มีการปรับลุคใหม่โดยเติมความสปอร์ตเข้าไปเพื่อให้สอดรับกับงานดีไซน์ภายนอก โดยเน้นความเรียบง่าย และสะอาดตา วัสดุภายในเลือกใช้เกรดพรีเมี่ยม ตัดเย็บและทำขึ้นในระดับงานฝีมือชั้นเยี่ยม โดยในบางเวอร์ชั่นได้ถูกอัพเกรดให้หรูขึ้นด้วยวัสดุโครเมี่ยม และหนังเกรดพิเศษอีกด้วย ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกนั้นก็มีให้อย่างครบครัน เช่น มาตรวัดขนาดใหญ่ที่อ่านค่าได้ง่าย และชุดพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น คอนโซลกลางติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 5.8 นิ้ว ส่วนเบาะนั่งถูกออกแบบในสไตล์สปอร์ต แต่นั่งสบายแม้จะขับขี่เป็นระยะทางไกลๆ อำนวยความสะดวกด้วยห้องเก็บสัมภาระด้านหลังที่สามารถจุได้มากถึง 380 ลิตร

อรรถรสการขับขี่มีมาให้เลือก 2 สไตล์ คือ เครื่องยนต์เบนซิน TSI และเครื่องยนต์ ดีเซล TDI ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Direct Injection และ Turbocharging ส่วนความจุเครื่องยนต์นั้นทางต้นสังกัดจัดมาให้เลือกหลายพิกัด โดยเริ่มต้นจากรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร TDI กับเรี่ยวแรง 105 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตันเมตร ติดตั้งตัวช่วยประหยัดน้ำมันด้วยระบบ Start/Stop Engine มาเป็นมาตรฐาน มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยเคลมไว้ที่ 3.8 ลิตร/100 กม. และสะอาดด้วยค่า CO2 เพียง 99 กรัม/กม. ต่อมาคือรุ่น 2.0 ลิตร TDI ที่ทรงพลังขึ้นเป็น 150 แรงม้า พร้อมแรงบิด 320 นิวตันเมตร ที่มีค่าความประหยัดราว 4.1 ลิตร/100 กม.

รถ รุ่น ใหม่ Seat Leon SC


ทางด้านเครื่องยนต์เบนซิน TSI เริ่มต้นด้วยเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ที่มากับ 2 เวอร์ชั่น คือ 85 แรงม้าและ 105 แรงม้า ขยับขึ้นมาจะเป็นเครื่องยนต์ความจุ 1.4 ลิตร เจนเนอเรชั่นล่าสุดพกพาเรี่ยวแรงมาให้ใช้ 122 แรงม้า กับแรงบิด 200 นิวตันเมตร ติดตั้งระบบ Start/Stop Engine มาเป็นมาตรฐาน เคลมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 5.2 ลิตร/100 กม. การันตีความสะอาดเอาไว้ที่ 120 กรัม/กม. แล้วก็จะมีรุ่น 1.4 ลิตร TSI ที่อัพเกรดขึ้นมาเป็น 140 แรงม้า พร้อมแรงบิด 250 นิวตันเมตรเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ส่วนอัตราสิ้นเปลืองนั้นเคลมไว้ที่ 5.2 ลิตร/100 กม. สะอาดสุดอยู่ที่ 119 กรัม/100 กม.

สำหรับรถ รุ่น ใหม่ รุ่นที่เป็นไฮไลต์เลย คือ พิกัด 1.8 ลิตร TSI ที่ให้กำลังสูงถึง 180 แรงม้า และแรงบิดถึง 250 นิวตันเมตร ซึ่งทางต้นสังกัดจะปล่อยของตามออกมาในภายหลัง เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ดีเซล TDI ที่จะปล่อยรุ่นย่อยตามออกมาอีก 2 รุ่นคือ 1.6 TDI 90 แรงม้า และ 2.0 TDI 184 แรงม้า ที่มีแรงบิดถึง 380 นิวตันเมตร ส่วนระบบส่งกำลังนั้นก็มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 และ 6 สปีด หรือจะเป็นเกียร์อัตโนมัติ DSG คลัทช์คู่ 6 และ 7 สปีด ก็แล้วแต่รุ่นย่อยที่ติดตั้งมา ในขณะที่พื้นฐานช่วงล่างนั้นด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ติดตั้งซับเฟรมเพิ่มความแข็งแกร่ง ด้านหลังเป็นแบบคานแข็งทอร์ชั่นบีม สำหรับรุ่นที่พละกำลังราวๆ 150 แรงม้าหรือต่ำกว่า ส่วนรุ่นท็อปๆ ที่พละกำลังสูงกว่านั้นช่วงล่างด้านหลังจะเป็นแบบมัลติลิงค์ เพื่อให้มีสมรรถนะการควบคุมที่เปี่ยมประสิทธิภาพ


วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทุ่มกว่า 135 ล้าน จัด Compact Road Show ยิ่งใหญ่ทั่วไทย


Compact Road Show ยิ่งใหญ่ทั่วไทย


คอมแพ็ค” ผู้นำผลิตภัณฑ์ผ้าเบรกเมืองไทย เผยนโยบายและแผนงานทางธุรกิจประจำปี 2556 หลังจากปีที่ผ่านมาทำยอดขายได้ 820 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2554 พร้อมทั้งทุ่มงบกว่า 135 ล้านบาท เพิ่มกำลังผลิตจาก 4 ล้านชุดเป็น 5.5 ล้านชุด ในไตรมาสสองนี้ เพื่อรองรับความต้องการตลาดที่มีอยู่สูง ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาเป็นที่ปรึกษาในด้านการวิจัยและพัฒนา และเดินหน้าผลักดันกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ภายใต้เทคโนโลยี NAO (Non Asbestos Organics) ด้วยฝีมือของไทยคุณภาพระดับโลก จัดกิจกรรมโรดโชว์ Pause For Safety “หยุดอย่างปลอดภัย มั่นใจในผ้าเบรก” ขึ้นทั่วภูมิภาคของไทย ประเดิมที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นแห่งแรก กลางเดือนมีนาคมนี้ โดยตั้งเป้ายอดขายปี 2556 ไว้ที่ 1,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 20%
นายพัฒนะ อิสระพิทักษ์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและภาพลักษณ์บริษัท คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าเบรกคุณภาพสูงระดับพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ COMPACT, DIAMOND และ MUSASHI เปิดเผยถึงความสำเร็จทางยอดจำหน่ายผ้าเบรกแบรนด์ต่าง ๆ ปีที่ผ่านมาว่า มียอดจำหน่ายที่ 820 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2554 แบ่งเป็นตลาดภายในประเทศ (ตลาดทดแทน) 70% ตลาด OES 10% (ป้อนศูนย์บริการรถยนต์แบรนด์ต่างๆ) และตลาดต่างประเทศประกอบด้วย มาเลเซีย อินโดเซีย ออสเตรเลีย และภูมิภาคตะวันออกกลางอีก 20% ขณะที่แผนการขยายตลาดต่างประเทศใหม่ๆ ทั้งที่รัสเซียและบราซิลยังเป็นไปตามแผนธุรกิจที่กำหนดไว้ภายใน 3-5 ปีนับจากนี้ รวมถึงการตั้งโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมเมืองทวาย ประเทศพม่า เพื่อรองรับการเปิดตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ภายในปี 2558

Compact Road Show ยิ่งใหญ่ทั่วไทย


จากการเติบโตทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับพันธกิจของ “คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994)” ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ผ้าเบรกไร้ใยหิน ภายใต้เทคโนโลยี NAO (Non Asbestos Organics) จึงมีนโยบายเพิ่มขีดความสามารถทั้งเชิงรุกและเชิงรับในกระบวนการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ในทุกภาคส่วน ด้วยการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกมาเป็นที่ปรึกษาของบริษัท ประกอบด้วย Mr.Takagi Teiji ผู้ชำนาญการด้านสูตรเคมีผ้าเบรก ที่มีชื่อเสียงจากประเทศญี่ปุ่น, Mr.Mike Hibbert ผู้ชำนาญการด้านสูตรเคมีผ้าเบรกที่มีชื่อเสียงจากยุโรป เคยร่วมพัฒนาสูตรผ้าเบรกรถบรรทุกในยุโรปมากว่า 20 ปี และ Mr.Marvin Weintraub ผู้ชำนาญการด้านสูตรเคมีผ้าเบรกที่มีชื่อเสียงจากสหรัฐอเมริกา อดีตประธานสมาพันธ์ความปลอดภัยโลก ประสบการณ์ทำงานจาก ฟอร์ด มอเตอร์ และประธานจัดงาน SAE หรืองานวิชาการเกี่ยวกับเบรกโดยตรง รวมถึงการนำเข้าเครื่องทดสอบประสิทธิภาพการเบรกจากอเมริกาที่จะทำให้เรามั่นใจในประสิทธิภาพของสินค้าที่ผลิตออกสู่ตลาด ทั้งนี้ เพื่อมุ่งให้ผู้บริโภคสามารถสัมผัสถึงประสิทธิภาพของผ้าเบรกไร้ใยหินของบริษัทได้อย่างชัดเจน และเป็นการต่อยอดการทำตลาดในอนาคต เพื่อรับมือกับการเปิดเขตการค้าเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ (AEC) ในปี 2558 และการทำตลาดต่างประเทศโดยรวม

“จากนี้ไปผู้บริโภคชาวไทยจะมีสิทธิ์ในการเลือกใช้ผ้าเบรกที่มีคุณภาพ และมีความเหมาะสมต่อรถยนต์ที่ใช้อยู่ สะท้อนถึงขีดความสามารถในการผลิตผ้าเบรกไร้ใยหินของบริษัทที่มีคุณภาพทัดเทียมแบรนด์ดังๆ ระดับโลกที่สามารถให้ความคุ้มค่าคุ้มราคา อีกทั้งปลายปี 2555 ที่ผ่านมา ความต้องการผ้าเบรกของบริษัทมีสูงกว่ากำลังผลิตกว่า 1-1.5 ล้านชุดในทุกกลุ่ม ทำให้กำลังผลิตทั้งที่โรงงานจังหวัดเพชรบุรีและมหาชัยที่มีรวมกัน 4 ล้านชุดต่อปีไม่เพียงพอ บริษัทจึงเร่งขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่สองนี้ ณ โรงงานจังหวัดเพชรบุรี โดยใช้งบลงทุนเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้น 30% หรือราว 1.5 ล้านชุด และสามารถเพิ่มได้ถึง 1.5 ล้านชุดหรือ 50% ของกำลังผลิตในปัจจุบัน ซึ่งในปี 2556 บริษัทตั้งเป้าขายไว้ที่ 1,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นราว 20% จากปีที่ผ่านมา มั่นใจว่ายอดขายรถยนต์ในตลาดเมืองไทยปี 2555 ที่มีจำนวนร่วม 1.6 ล้านคัน บวกกับรถยนต์เก่าที่ยังใช้งานอยู่นับ 10 ล้านคัน จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้อย่างแน่นอน”

Compact Road Show ยิ่งใหญ่ทั่วไทย


นายพัฒนะ อิสระพิทักษ์กุล กล่าวต่อว่า เพื่อให้ยอดขายบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งเป้าไว้ จึงทุ่มงบประมาณเบื้องต้นอีกไม่น้อยกว่า 35 ล้านบาท เพื่อใช้สื่อสารทางการตลาดผ่านการประชาสัมพันธ์สื่อต่างๆ รวมทั้งจัดโปรโมชั่นกับร้านค้าผู้แทนจำหน่ายและผู้บริโภค โดยเฉพาะการจัดกิจกรรม Compact Road Show ขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์บริษัท ตราสินค้า และผลิตภัณฑ์ ภายใต้เทคโนโลยี NAO (Non Asbestos Organics) ด้วยฝีมือของไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค นอกจากนี้ยังจัดทำป้ายตราสัญลักษณ์ “COMPACT” ขนาดต่างๆ นำไปติดตั้งที่ร้านค้าผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ พร้อมดูแลการเสียภาษีป้ายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยตั้งเป้าติดตั้งให้ครบ 5,000 ร้านค้าฯ ที่เป็นตัวแทน และภายใน 2 ปีจากนี้ก่อนเปิด (AEC) จะติดให้ครบ 20,000 ป้าย

“กิจกรรม Compact Road Show ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัท โดยโรดโชว์นี้ใช้ชื่อว่า Pause For Safety (ติดเบรกหื้อคนเมือง) จัดขึ้นระหว่าง 15-17 มีนาคมนี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล แอร์พอร์ต เชียงใหม่ เป็นแห่งแรก ต่อจากนั้นจะเดินทางไปจัดที่ขอนแก่น ภูเก็ต และชลบุรี ภายใต้คอนเซ็ปต์ Pause For Safety คือ “หยุดอย่างปลอดภัย มั่นใจในผ้าเบรก” เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและขยายฐานลูกค้าไปสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อต่อยอดธุรกิจให้ร้านค้าผู้แทนจำหน่าย พร้อมทั้งทำกิจกรรมเพื่อสังคม ด้วยการมอบผ้าเบรก “COMPACT” ให้เทศบาลนครเชียงใหม่ นำไปใช้ในการปฏิบัติราชการ จำนวน 100 คัน”


Aston Martin DB9 ยังคงหรูหราแต่เพิ่มความดุดัน


Aston Martin DB9


Aston Matin เปิดเผยรายละเอียดล่าสุดของ DB9 โมเดลปี 2013 ที่ยังคงความเป็น British Luxury Sports GT ไว้อย่างครบถ้วน ส่วนความเปลี่ยนแปลงของโมเดลใหม่นี้เกิดขึ้นในรายละเอียดตัวรถ เช่น ไฟหน้าที่เปลี่ยนเป็น Bi-Xenon เพื่อการส่องสว่างที่ชัดเจน เติมความดุดันลงไปด้วยดีไซน์กระจังหน้าแบบใหม่ที่วางต่ำ และกว้างขึ้น เพื่อรับลมไประบายความร้อนระบบเบรคคาร์บอนเซรามิคได้มากขึ้น เพิ่มมิติความกว้างของตัวรถขึ้นอีกสเต็ปด้วยการติดตั้ง Splitter ด้านล่างใต้กันชนหน้า ซึ่งทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ อันเป็นส่วนหนึ่งของชุดพาร์ท Carbon Pack โดยนอกจาก Splitter ด้านหน้าแล้ว ยังมี Diffuser หลัง, ครอบกระจกมองข้างคาร์บอน และท่อไอเสียโทนสีดำ ส่วนภายในห้องโดยสารก็จะประกอบด้วยแผงคอนโซลต่างๆ แป้นเปลี่ยนเกียร์ และมือจับเปิดประตู

ขยับเข้ามามองใกล้ๆ ในมุมมองด้านหน้าจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดูดุดันขึ้นด้วยชุดกันชนหน้าแบบใหม่ กับชิ้นงานการดีไซน์กระจังหน้านั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Hyper Car พันธ์หายากอย่าง One-77 เช่นในส่วนการวางลวดลายของกระจังหน้า ฝากระโปรงหน้าแบบเจาะช่องระบายอากาศ แก้มหน้าเจาะช่องระบายอากาศดีไซน์ใหม่ที่ติดตั้งชุดไฟ LED มาให้ในตัว ส่วนด้านหลังจะสังเกตเห็นถึงความกว้าง และมัดกล้ามที่เพิ่มขึ้นเพื่อสื่อสารถึงพละกำลังที่จะส่งผ่านไปยังล้อหลัง ซึ่งในส่วนของล้ออัลลอยด์นี้ไปเปลี่ยนไปใช้ชุดใหม่ขนาด 20 นิ้ว ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน

Aston Martin DB9


Aston Martin DB9

ภายในเรียบร้อย และหรูหราตามสไตล์ Aston Martin อัดแน่นไปด้วยการตกแต่งจากวัสดุหนังคุณภาพสูงเฉกเช่นเดียวกับรุ่น Virage ผลิตและทำขึ้นด้วยคุณภาพงานฝีมือล้วนๆ สวิทช์ควบคุมภายในห้องโดยสารงดงามโดยเฉพาะสวิทช์เกียร์ที่ทำมาจากแก้วเจียระไนจนมีลักษณะคล้ายเพชร มีออพชั่นให้ลูกค้าเลือกจ่ายเพิ่มเป็นเบาะนั่งสปอร์ตน้ำหนักเบา Aston Martin’s Lightweight Seats ที่ผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ และเคฟล่าห์ ซึ่งเบาะนั่งทั้ง 2 ตัวจะมีน้ำหนักเพียง 17 กก. ทั้งยังออกแบบให้รองรับหลัง และไหล่ ช่วยให้นั่งสบายมากยิ่งขึ้น โดยไม่เสียทัศนวิสัยและอารมณ์ในการควบคุมสไตล์สปอร์ต ทางด้านพละกำลังนั้นมากับเครื่องยนต์ทรงพลังเจนเนอเรชั่นล่าสุด แบบ V12 ให้กำลังสูงสุดที่ 517 PS พร้อมแรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร ผลพวงจากการปรับปรุงเสื้อสูบ, ฝาสูบ, ระบบวาล์วแปรผันคู่ Dual Variable Valve Timing ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น อัพเกรดปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ และท้ายสุดคือการจัดการกับท่อร่วมทางเดินไอดี และห้องเผาไหม้ซะใหม่

Aston Martin DB9


ระบบเบรกของ Aston Martin DB9 ใช้แบรนด์ Brembo เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเลือกใช้แบบ CCM – Carbon Ceramic Matrix ทั้งในส่วนของดิสก์เบรก และคาลิปเปอร์เบรก ขนาดจานหน้า 398 มม. ด้านหลัง 360 มม. พร้อมระบบ ADS – Adaptive Damping System ที่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ได้ 3 สไตล์คือ Normal, Sport และ Track โดยในโหมด Normal ชุดโช๊คอัพอิเล็คทรอนิกส์จะปรับเซ็ทให้นุ่มนวลขับขี่สะดวกสบายโดยอัตโนมัติ ในขณะเดียวกันเมื่อเปลี่ยนเป็นโหมด Sport ชุดโช๊คอัพจะปรับหนืดมากขึ้น ระบบพวงมาลัยปรับให้ควบคุมได้อย่างเฉียบคมขึ้น สุดท้ายคือโหมด Track มีไว้สำหรับจัดหนักในสนามแข่งเพื่อความสะใจ



วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รถใหม่ Renault Clio RS 200 EDC อีกระดับของความสปอร์ต


Renault เปิดตัวโมเดลใหม่ล่าสุดในอนุกรม Clio RS 200 ในเวอร์ชั่น EDC ที่พัฒนาขึ้นอีกระดับโดยเน้นสมรรถนะให้มีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น จากการเปลี่ยนไปใช้คลัทช์คู่ และ อัพเกรดพละกำลัง 1.6ลิตรเทอร์โบขึ้นไปเป็น 200 แรงม้า

รถใหม่ Renault Clio RS 200 EDC


รถใหม่

Renault Clio RS 200 EDC รายละเอียดภายนอกที่ถูกปรังแต่งขึ้นใหม่บนพื้นฐานเดิมนั้นประกอบไปด้วยชุดกันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้างที่ออกแบบขึ้นใหม่ โดยเฉพาะกันชนหลังที่ดีไซน์ให้มี Diffuser หลังในตัว และรับกับท่อไอเสียทรงเหลี่ยมซ้าย-ขวา รวมถึงชุดล้ออัลลอยด์ขนาดใหญ่ 17 นิ้ว สีเทา Silver Grey “Tibor” ซึ่งทางต้นสังกัดจัดเตรียมความสปอร์ตไว้ให้อีกระดับด้วยล้อขนาด 18 นิ้ว สีดำ Gloss Black และ Dark Gun Metal เอาไว้ให้เลือกจ่ายเงินเพิ่มอีกด้วยเช่นกัน ส่วนชุด Aerodynamic Part ที่ติดตั้งเข้าไปนั้นได้ผ่านการออกแบบจากอารยกรรมของรถสูตร 1เพื่อให้มีศักยภาพสูงสุด โดย Diffuser หลังนั้นสามารถสร้างแรงกด Downforce ได้มากถึง 80% และอีก 20% นั้นเกิดจากสปอยเลอร์หลัง สำหรับในด้านหน้าหล่อล่ำด้วยกระจังหน้าที่มาพร้อมสัญลักษณ์ R.S. วางตำแหน่งใต้โลโก้ Renault ติดตั้งไฟ Daytime Runing Light แบบ LED ไว้บริเวณช่องดักอากาศกันชนหน้า


ภายในห้องโดยสารเน้นโทนสีดำเป็นหลัก และเพิ่มความโดดเด่นด้วยสีแดงในรายละเอียดต่างๆ เพื่อเน้นอารมณ์ของความเป็นสปอร์ตขึ้นอีกระดับ เช่น แผงประตู พวงมาลัย หัวเกียร์ คอนโซลเกียร์ กรอบช่องแอร์ เข็มขัดนิรภัย และยังรวมถึงการเดินด้านแดงในส่วนของงานเย็บทั่วทั้งห้องโดยสารอีกด้วยเช่นกัน ใส่ความแตกต่างให้กับแป้นเปลี่ยนเดียร์หลังพวงมาลัยด้วยสีโทนโลหะ Dark Metal เช่นเดียวกับพื้นหลังของมาตรวัด สำหรับเบาะนั่งนั้นดีไซน์สไตล์ Bucket Seat ที่เน้นความสบายเป็นหลัก และยังโอบกระชับรับสรีระด้วยการออกแบบให้ส่วนปีกด้านข้างที่สูง และสวยสปอร์ตด้วยการหุ้มหนังเดินด้ายแดง สุดท้ายคอนโซลกลางโดดเด่นด้วยวัสดุสีดำเงาแบบ Black Lacquer ตัดขอบด้วยโครเมี่ยม

รถใหม่ Renault Clio RS 200 EDC


หัวใจหลักแห่งสมรรถนะ คือ เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ คลัทช์คู่ เกียร์ 6 สปีด EDC ที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นใหม่โดยแผนก Renault Sport Technologies ส่วนพละกำลังที่ซุกซ่อนไว้ก็อยู่ในระดับ 200 แรงม้า พร้อมแรงบิด 240 นิวตันเมตร พร้อมถ่ายทอดพละกำลังเต็มอัตราด้วยตัวเลขจาก 0-100 กม./ชม. ใน 6.7 วินาที ทะยานไปถึง 1,000 ม. ได้ใน 27.1 วินาที และมี Top Speed สูงสุดเหยียบได้ถึง 230 กม./ชม. และไม่ใช่เพียงแค่ขุมพลังเท่านั้นที่ผ่านการอัพเกรดมา เพราะทาง Renault Sport ยังได้ลงมือปรับปรุงแชสซีร์ใหม่โดยพยายามเน้นองค์ประกอบหลัก คือ นุ่มนวล ตอบสนองเฉียบคม ยึดเกาะถนนเนเยี่ยม และหยุดยั้งได้อย่างมั่นใจ ซึ่งระบบช่วงล่างที่ใช้นั้นยังคงเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท แต่มีการปรับเซ็ทให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อรองรับสมรรถนะที่สูง และล้อที่มีขนาดใหญ่ จึงทำให้ต้องเปลี่ยนไปใช้โช๊คอัพ และลูกปืนโช๊คอัพที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับระบบเบรกที่อัพเกรดขนาดจานดิสก์ด้านหน้าขึ้นไปเป็น 320 มม. ขนาดเท่ากับ Renault Laguna V6 สำหรับช่วงล่างด้านหลังนั้นเปลี่ยนไปใช้เหล็กกันโคลงที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 60% เพื่อเน้นความแข็งแกร่ง ส่วนจานเบรกหลังอัพไซส์เป็น 260 มม. ทั้งยังติดตั้งระบบล็อคเฟืองท้ายแบบอิเล็คทรอนิคส์มาให้เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่

รถใหม่ Renault Clio RS 200 EDC


สำหรับผู้ที่ยังคิดว่า รถใหม่ Renault Clio RS 200 EDC ยังให้ความสปอร์ตได้ไม่สะใจพอ ทางต้นสังกัดยังมีออพชั่นเสริมให้เสียเงินเพิ่มกับชุดช่วงล่างแบบ Sport และแบบ Cup ให้เลือก ซึ่งแบบ Cup นั้นจะสปอร์ตแบบสุดขั้วด้วยการปรับลดความสูงลงมาให้อีก 3 มม. เซ็ทช่วงล่างให้แข็งขึ้นอีก 15% และระบบพวงมาลัยตอบสนองฉับไวขึ้นอีกระดับ มีโหมด R.S. Drive ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 3 ระดับ คือ Normal, Sport และ Race เสริมด้วยระบบ Launch Control ช่วยเพิ่มความเร้าใจยามออกสตาร์ทด้วยการล็อครอบเครื่องยนต์เอาไว้ที่ 2,500 รอบต่อนาที



งาน ANNIVERSARY VCT PARTY ครั้งที่ 5 คึกคักด้วยรถแต่งกว่า 200 คัน


งาน ANNIVERSARY VCT PARTY ครั้งที่ 5


บริษัท 666 แม็กซ์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ร่วมกับ VIPCARTHAILAND เว็บไซต์รถแต่งในสไตล์ VIP จัดงานประกวดรถแต่ง VIP STYLE ภายใต้ชื่อชื่องาน “ANNIVERSARY VCT PARTY ครั้งที่ 5 By PP SUPERWHEELS  โดยงานจัดขึ้น ณ ลานจอดรถหน้าศูนย์สรรพสินค้า MEGA BANGNA เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 255 โดยการจัดงานครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก คุณชัยยศ  เอี่ยมสมบูรณ์กร เป็นประธานในการเปิดงาน ร่วมกับคุณศักดิ์ชัย  ลิ้มสุข ประธาน CLUB VIPCARTHAILAND ซึ่งกิจกรรมการประกวดรถแต่ง VIP STYLE ครั้งนี้จัดติดต่อกันเป็นครั้งที่ 5 แล้ว และได้รับการตอบรับจากผู้ชื่อชอบการแต่งรถมากขึ้นเป็นลำดับ  ทั้งนี้จากการจัดงานครั้งที่ 4  ณ สนามมอเตอร์สปอร์ต มีรถเข้าร่วมประกวดประมาณ 100 คัน แต่ว่าในครั้งมีรถเข้าร่วมประกวด รวมกับรถที่มาร่วมโชว์ทั้งหมดกว่า 200 คันทีเดียว

คุณชัยยศ  เอี่ยมสมบูรณ์กร กรรมการผู้จัดการบริษัท PP SUPERWHEELS จำกัด ผู้สนับสนุนหลักในการจัดงานครั้งนี้ เปิดเผยว่า ต้องการผลักดันให้วงการตกแต่งรถยนต์ ซึ่งรวมไปถึงวงการมอเตอร์สปอร์ตของบ้านเรา ก้าวขึ้นไปทัดเทียมกับผู้นำในวงการแต่งรถอย่างประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา โดยในปี 2557 มีการเตรียมแผนงานที่จะนำเอารถแต่งอย่างรถ VIP STYLE และรถปิกอัพ พลังดีเซลระดับหัวแถวของประเทศไทย ไปร่วมแสดงในงานโชว์รถแต่งระดับโลก TOKYO AUTO SALON 2014 ที่ประเทศญี่ปุ่น ด้วย

พริตตี้ สาวสวย งาน ANNIVERSARY VCT PARTY ครั้งที่ 5


ทางด้านบรรยากาศของงานในปี เริ่มคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้าที่บรรดารถ VIP STYLE  ทยอยเดินทางเข้าลงทะเบียน  ส่วนในช่วงเย็นมีผู้ให้ความสนใจเข้ามาชมและสัมผัส ร่วมถ่ายรูปรถสวยๆกันอย่างล้นหลาม นอกจากนี้ยังเต็มอิ่ม เต็มตากับบรรดาพริตตี้สาวสวยภายในงานกว่า 30 ชีวิต ขณะที่การประกวดพริตตี้ VIP GRIL อีกหนึ่งสีสันของงานปรากฏว่า  น้องออฟฟี่  สามารถเอาชนะใจหนุ่มๆได้ดอกกุหลาบมากที่สุดคว้าตำแหน่ง VIP GRIL ไปได้ นอกจากนี้ภายในงานยังสนุกและมันส์ไปกับ มินิคอนเสิร์ตของวง SWEET  MULLET และแน่นอนไฮไลท์สำคัญของงานก็คือการประกาศผลรางวัล ซึ่งมีถ้วยรางวัลมอบให้เกือบ 50 รางวัลกับรุ่นประกวด 12 รุ่น โดยรุ่นที่ถือว่าเป็นรุ่นใหญ่สุดของงาน รุ่น BIG SEDAN JDM  ในปีนี้ปรากฏว่ารถที่คว้างรางวัลชนะเลิศไปได้เป็นรถยนต์  LEXUS  LS 430 จากผลงานของร้าน LOVESOUND ร่วมกับ FASY GUY โดยแว่วๆว่าซุ่มทำกันมาเกือบๆ 2 ปีทีเดียว

พริตตี้ สาวสวย งาน ANNIVERSARY VCT PARTY ครั้งที่ 5


ANNIVERSARY VCT PARTY ครั้งที่ 5

By PP SUPERWHEELS” ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่งจาก  ETON ,NANKANG ,AIR HI-SPEED ,TODA , CAR DANCE ,FAST GUY ,ACHILLES ,SMT ,LEO XENON ,PARTO และ สิงห์  รวมทั้ง ศูนย์สรรพสินค้า เมกา บางนา ที่อำนวยความสะดวกในการจัดงานครั้งนี้

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รถใหม่ Peugeot 2008


รถใหม่ 2014 Peugeot 2008

Peugeot ต่อยอดความสำเร็จจากโมเดล 3008 รถ Crossover ด้วยรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ล่าสุด Peugeot 2008 ซึ่งรถใหม่คันนี้เตรียมจะเปิดตัวในช่วงถดูใบไม้ผลิปีนี้ โดย Peugeot 2008 จะเป็นรถ SUV ที่มีขนาดตัวรถยาว 4.16 ม. กว้าง 1.74 ม. มีจุดเด่นอยู่ที่อรรถรสการขับขี่ที่น่าตื่นเต้น พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง และอำนวยความสะดวกสบายได้ดี สามารถใช้งานได้ทั้งในเมือง และนอกเมือง ด้วยการติดตั้งล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้วมาให้เป็นมาตรฐานพร้อมด้วยยาง Mud&Snow รับกับซุ้มล้อขนาดใหญ่ ที่เสริมความบึกบึนแข็งแกร่งด้วยชุดกันชนทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และสเกิร์ตข้างสีดำทั้งยังติดตั้งแผ่นสแตนเลสในส่วนของชายประตูหน้า และหลัง เพื่อเพิ่มความโดดเด่น และป้องกันรอยขีดข่วนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งาน

มุมมองด้านหน้าสะดุดตาด้วยกระจังหน้าที่โดดเด่น และยกสูงรับกับฝากระโปรงหน้าที่ดีไซน์ด้วยเส้นสายพริ้วไหว ติดตั้งชุดไฟหน้าที่เฉียบคม พร้อมชุดไฟ LED Daytime Runing Light ไว้ภายในโคม แนวเส้นหลังคาโค้งมนได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถสปอร์ตในค่ายอย่าง RCZ เพิ่มความหรูหราด้วยชุดหลังคาแบบ Panoramic สำหรับด้านหลังเปี่ยมด้วยความแข็งแกร่ง วางขอบห้องเก็บสัมภาระท้ายไว้ต่ำ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการขนสัมภาระ สร้างจุดสนใจด้วยไฟท้ายขนาดใหญ่ดีไซน์เฉี่ยวส่องสว่างด้วยชุดไฟ LED แบบ 3 แถว ภายในห้องโดยสารนั้นมากับการตกแต่งด้วยวัสดุเกรดดี มีให้เลือก 2 สไตล์ แต่รายละเอียดส่วนใหญ่จะยังไม่เปิดเผย

รถใหม่ 2014 Peugeot 2008


ส่วนช่วงล่าง และล้อได้รับการปรับแต่งให้สามารถรองรับน้ำหนักได้ที่ราวๆ 1,045 กก. จากพื้นฐานของแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมคานขวางรับน้ำหนัก Crossmember ชุดสปริง และโช๊คอัพที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เพื่อให้มีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีนุ่มนวล และมีเสถียรภาพ พร้อมด้วยโหมดการขับขี่ที่สามารถเลือกได้ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง คือ หิมะ (Snow), Off-Road, ทราย (Sand) และ ESP Off เพื่อเพิ่มความเร้าใจแบบไร้เสภียรภาพ โดยชุดล้อและยางที่ใช้จะมีให้เลือก 2 ขนาดคือ 215/60 R16 หรือ 205/50 R17 โดยทุกเวอร์ชั่นของ 2008 จะติดตั้งระบบความปลอดภัย ESP, ASR, CDS, EBA และ EBFD มาให้เป็นมาตรฐานทำงานควบคู่กับระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ในรุ่นท็อปจะมากับดิสก์เบรกด้านหน้าขนาด 266 x 22 มม. และด้านหลังขนาด 283 x 26 มม. ส่วนความยาวฐานล้อ 2.54 ม. นอกจากจะทำให้ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังแล้ว ยังช่วยให้ 2008 มีห้องเก็บสัมภาระที่กว้างขวาง และขนาดใหญ่ สามารถบรรจุสิ่งของที่มีความสูง 60 ซม. ได้แบบสบายๆ ทั้งยังเพิ่มพื้นที่ความจุได้ด้วยการพับเบาะหลังแบบ 60/40

รถใหม่ 2014 Peugeot 2008


รถใหม่

มีรายละเอียดด้านสมรรถนะเปิดเผยคร่าวๆ เพียงเทคโนโลยีของเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.2 ลิตร e-VTi นี้ ได้ผ่านการพัฒนามาเพื่ออให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในเรื่องจของการประหยัดเชื้อเพลิง และลดมลพิษ ทั้งยังสามารถลดน้ำหนักลงได้ถึง 21 กก. เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ 4 สูบ แต่กลับให้พละกำลังที่ใกล้เคียงกัน โดยรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน e-VTi เคลมอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำราว 3.8 ลิตร/100 กม. หรือ 61.8 ไมล์/แกลลอน และมีความสะอาดอยู่ที่ 99 กรัม/กม. ส่วนรุ่นดีเซล e-HDI ที่ 98 กรัม/กม. จากการติดตั้งฟังค์ชั่น Stop&Start

รถใหม่ 2014 Peugeot 2008


นอกจากนี้ยังมีรถ รุ่น ใหม่ที่ปล่อยออกมาเพื่อความสะใจอย่างรุ่นเทอร์โบอีก 2 รุ่น จากพื้นฐานเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร e-THP ที่วิศวกรได้ปรับปรุงระบบระบายความร้อนใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้พละกำลังแรงบิดเพิ่มขึ้นอีกราวๆ 45% รวมถึงมีอัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้น 15-20% อีกด้วย อีกทั้งยังมีน้ำหนักที่เบากว่าเครื่องยนต์ 4 สูบหายใจเองอยู่ราวๆ 12 กก. ส่วนเรี่ยวแรงที่ติดตีวมานั้นจะอยู่ที่ 110 แรงม้า พร้อมแรงบิด 205 นิวตันเมตร และ 130 แรงม้า ที่มากับแรงบิด 230 นิวตันเมตร


วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

DATSUN ช้างเหยียบ 1UZ V8 แต่งสบาย ดุดันได้ ไม่จุกจิก

ก็เพิ่งจะเขียนถึงเรื่องการเปลี่ยนหัวใจให้กับรถเรโทร หรือรถคลาสสิคไปอยู่แหมบๆ ก็ดันมาเจอเอา “ขุนช้างตกมัน” คันนี้เข้าพอดี จากกลุ่ม SIAM RETRO PARTS ในชมรม DATSUN THAILAND ที่แนะนำกันเข้ามา สร้างความน่าประหลาดใจได้มาก ถ้ามันเป็นแค่ SR20 หรือ JZ ก็คงจะเฉยๆ เพราะเคยเห็นกันอยู่ แต่คันนี้ดันทุรังไปวางขุมพลัง Big Block จาก TOYOTA นามว่า 1UZ-FE เป็นเครื่อง V8 ขนาด 4.0 ลิตร ได้กำลังมากถึง 280 PS โดยไม่ต้องพึ่งเทอร์โบแม้แต่ตัวเดียว เรียกว่าแรงแบบเครื่องโตๆ แบบ “กดก็มา ดึงยาวๆ” ซึ่งเจ้าของ “คุณล็อก” ก็เป็นผู้ที่สร้างรถแข่ง Space Frame อยู่แล้ว และชอบแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจ พอเห็นเจ้า DATSUN ช้างเหยียบ มันดูหงอยๆ ก็เลยอยากมาทำเอาแรงสะใจแบบ “ไม่แคร์สื่อ” ซึ่งคุณล็อกเองก็เป็นผู้วางระบบต่างๆ ทั้งหมด ก่อนจะไปให้ช่างทำตามระบบที่วางไว้ เราลองมาดูว่าเขาทำอะไรกันลงไปบ้าง

DATSUN ช้างเหยียบ


นอกในเดิมๆ รอทำโปรเจ็กต์ใหม่อีกรอบ
คันนี้ดูเผินๆ ไม่รู้สึกถึงความแรง คงความเดิมของช้างเหยียบไว้ เน้นพวกโลโก้ต่างๆ ไฟ กันชน ให้ดูเดิมและดูดีมากที่สุด ส่วนสีก็รอการทำใหม่ ภายในตอนนี้อาจจะเป็น “ลูกผสม” อยู่ เรียกว่าทำให้ใช้ได้ไปก่อน ตอนที่ถ่ายยังไม่ทำเพราะอยากจะวางเครื่องกับเซ็ตระบบช่วงล่าง เบรกอะไรต่างๆ ให้จบเสียก่อนจึงจะลงมือเก็บดีเทลกันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะทำกันแบบ “ออริจินอล” ชุดใหญ่ แต่ว่าเราเห็นแล้วก็รีบชิงนำมาลงก่อน เพราะรถมันแรง !!!

DATSUN ช้างเหยียบ


วางไม่ง่ายอย่างที่คิด แถมเผื่อโปรเจ็กต์ “ทวินเทอร์โบ” !!!
ห้องเครื่องของช้างเหยียบ หรือ DATSUN 1300 Pick Up รหัส 620 นั้น มันก็เพียงพอสำหรับเครื่อง J13 ลูกกะติ๊ดเดียว ไอ้ที่เหมาะสมที่สุด ก็ควรจะเป็น SR20 จะนามสกุล DE แบบไร้หอย หรือจะ “เล่นหอย” กับนามสกุล DET ก็แล้วแต่สมใจอยาก กับงบประมาณที่สูงขึ้น แต่ครั้นจะบ้าพลังจริงๆ เล่นกับ 6 สูบ อย่าง JZ ก็คงจะโหดร้ายไปหน่อย เพราะเครื่องมันยาว ต้องทุบผนังห้องเครื่อง แต่คันนี้ดันทุรังจะเล่นกับ 1UZ-FE แบบ V8 ก็ย่อมจะต้อง “ออกแรง” กันมิใช่น้อย ไอ้เรื่องความยาวคงไม่ใช่ปัญหาเหมือน 6 สูบ เพราะ V8 มันก็คือ “4 สูบสองแถว” ความยาวมันก็ไม่ต่างจากเครื่อง 4 สูบ มากเหมือน 6 สูบ แต่ “ความกว้าง” ของมันเนี่ยแหละจะทำปัญหา การวางก็ต้องมีการทุบ เคาะ ให้เครื่องมันลงไปได้ แต่ที่เหนือกว่านั้น ก็ต้องมีการดัดแปลงที่แชสซีส์กันนิดหน่อย ซึ่งตรงนี้ก็เป็นไอเดียของเจ้าของรถเองที่ไม่อยากเปิดเผย และที่สำคัญ เขาได้วางระยะเผื่อไว้เล่นกับ “ทวินเทอร์โบ” ในอนาคตอันใกล้ บอกแล้ว “บ้าพลังซะอย่าง” อะไรก็หยุดไม่อยู่ !!! จะบอกให้ว่า แถมติดแก๊ส LPG ให้ซัดแล้วรู้สึกว่าไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมัน จ่ายค่าแก๊สถูกกว่าเยอะเลย แถมใช้งานสบายๆ อีกด้วย

DATSUN ช้างเหยียบ


จัดเต็มๆ เบรก ARISTO แร็ค S15 เพลา TROOPER สเป็กอเมริกา
ระบบช่วงล่างคันนี้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเล่นกับขุมพลังระดับ 1UZ-FE ที่มันเคยอยู่ในรถหรูอย่าง TOYOTA CELSIOR หรือ LEXUS LS400 ที่มีช่วงล่างชั้นดี แต่พอมาอยู่ในกระบะรุ่นเก่า แน่นอนว่าต้องลงทุนทำกันชุดใหญ่ จัดว่าเอาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในรถกระบะช้างเหยียบก็แล้วกัน เริ่มแรก ได้เปลี่ยนระบบบังคับเลี้ยว จากเดิมเป็นกระปุก ที่ตอบสนองไม่ดีเอาเสียเลย ยิ่งเก่ายิ่งแย่ เลยจัดการโละของเดิมทิ้งทั้งหมด เปลี่ยนระบบเป็น “แร็ค” ที่มีความแม่นยำสูงกว่า และหาของได้ง่าย โดยการเอาแร็คของ SILVIA S15 มาใส่ ซึ่งเอามาทั้งคันชัก แถมยังเป็น “เพาเวอร์” อีกต่างหาก ขับสบายและนิ่งขึ้นเยอะเลย

DATSUN ช้างเหยียบ

พอจบเรื่องพวงมาลัย ก็มาต่อเรื่องระบบเบรก ถ้าดันทุรังใช้เบรกเดิมๆ เล็กๆ “ชีวิตคงหาไม่” กับแรงม้าระดับนี้ เลยจัดการแปลงเบรกหน้าของ TOYOTA ARISTO เก๋งหรูพลังแรงตัวยอดนิยมมาใส่ พร้อมหม้อลมเบรกใหม่สองชั้น เพลาหลังได้ยกเอาของ TROOPER สเป็กอเมริกา ที่เป็นเครื่อง 3.5 V6 มาใช้ ในบ้านเราเป็นรุ่น 3.2 V6 ซึ่งเป็นเพลาท้ายมีลิมิเต็ด พร้อมดิสก์เบรกหลัง ก็เลยกลายเป็นดิสก์สี่ล้อไปแล้ว เรียกว่า “เอาอยู่” ดีกว่าเดิมคนละเรื่องเลย ช่วงล่างก็เซ็ตใหม่หมด ใส่โช้ค KAYABA แก๊ส เพิ่มความหนึบแบบคนละเรื่องกับเดิมๆ แหนบหลังเอาของ MITSUBISHI L200 มาใส่เข้าไป ก็เป็นอันจบในส่วนของช่วงล่าง

DATSUN ช้างเหยียบ


ขับสบาย ดุดันได้ ไม่จุกจิก
หลังจากที่ได้ทำระบบต่างๆ ครบถ้วนกระบวนความแล้ว ฟิลลิ่งของรถก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก กลายเป็น “ขุนช้างบ้าพลัง” แต่ก็ยังขับได้อย่างดี เบรกอยู่ แถมยังขับสบายๆ จากเครื่องสแตนดาร์ดที่ไม่ค่อยจุกจิกมากนัก แถมเป็นเกียร์ออโต้อีก และยังติดแก๊ส ถือว่าเป็นรถที่ขับเล่นก็ได้ ใช้งานก็ไหว ซึ่งรถพวกนี้ก็คงไม่ได้ใช้กันทุกวันอยู่แล้ว ก็ทำแบบที่อยากทำนั่นแหละ เพียงแต่อยากฝากไว้ว่า การทำรถเรโทรให้เป็นสไตล์นี้ มันก็ต้องอาศัยการวางแผนที่ดี ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง อะไรควรทำ บางอย่างก็ต้องลงทุนดัดแปลงใช้เวลาใช้งบเยอะคุณก็ต้องยอมเสีย ก็อยู่ที่ว่าเราอยากได้อะไรจากมัน หาสไตล์ตัวเองให้เจอ คำนวณทุกอย่างให้ลงตัวแล้วก็จัดไปเลย


วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ไทยยานยนตร์ เอาใจคนรัก โฟล์ค จัดงาน Siam VW Festival 2013

Siam VW Festival 2013


Siam VW Festival 2013

มหกรรมเพื่อคนรักรถ โฟล์ค ซึ่งจัดขึ้นที่ สวนสนุกวันเดอร์เวิล์ดพาร์ค โดย บริษัท ไทยยานยนตร์ จำกัด เพื่อเป็นการรวมตัวของผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ Volkswagen ไม่ว่าจะเป็นอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยภายในงานมีรถยนต์รุ่นต่างๆของ โฟล์ค จากประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนีเซีย มาจัดแสดงเพื่อสร้างสีสัน

Siam VW Festival 2013


และยังมีกิจกรรมอีกมากมาย เช่น การให้ความรู้ ทั้งในเรื่องของการบำรุงรักษา, การใช้งานรถยนต์ Volkswagen อย่างถูกวิธี, การแข่งขันต่างๆ, การร่วมประมูลอะไหล่ เพื่อมอบรายได้ให้แก่ “มูลนิธิเด็ก พุทธมณฑล”, และการจัดแสดงโชว์เครื่องเสียงรถยนต์

ปิดท้ายกิจกรรม Siam VW Festival 2013 ด้วยการแสดงดนตรีเพื่อเพื่อนเราชาว โฟล์คสวาเกน และมินิคอนเสิร์ตจาก สินเจริญ บราเธอร์ส


เปิดตัว รถกระบะก้านกล้วยเต็มเหนี่ยว ประหยัด สุดคุ้มทุกงานบรรทุก


เปิดตัว รถกระบะก้านกล้วยเต็มเหนี่ยว ประหยัด สุดคุ้มทุกงานบรรทุก


รถกระบะก้านกล้วยเต็มเหนี่ยว

ความแรงน้องใหม่ ที่พัฒนามาเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการใช้งานรถกระบะเชิงพาณิชย์สมรรถนะสูงสุด ทั้งในแง่ของพื้นที่การบรรทุกและความสามารถในการวิ่งได้ระยะทางไกลมากขึ้น เปิดตัวออกสู่ตลาดแล้ว โดย สามมิตร กรีนพาวเวอร์ เพิ่มความคุ้มค่ามากขึ้นกับ การพัฒนาเทคโนโลยี CNG 5ถัง 2ระบบ จึงทำให้สามารถขนส่งต่อเนื่องได้ไกลถึง 600 กิโลเมตร ไม่ต้องกังวลกับการเติมเชื้อเพลิงบ่อยๆ ซึ่งขณะนี้ถือเป็นระยะทางที่ไกลที่สุดในตลาด ณ ตอนนี้ ในด้านความปลอดภัย รถกระบะก้านกล้วยเต็มเหนี่ยว ยังผ่านการรับรองในด้านความปลอดภัยระดับสากลจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี อีกทั้งยังเป็นรถติดก๊าซรายแรกที่ได้มาตรฐาน EURO 4 การันตีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เปิดตัว รถกระบะก้านกล้วยเต็มเหนี่ยว ประหยัด สุดคุ้มทุกงานบรรทุก

เปิดตัว รถกระบะก้านกล้วยเต็มเหนี่ยว ประหยัด สุดคุ้มทุกงานบรรทุก




ขอนแก่นประเดิม Thailand Motor Festival 2013 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ


Thailand Motor Festival 2013

จัดงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ณ ลานอีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นการผนึกกำลังร่วมกันของบริษัทผู้เชี่ยวชาญทางด้านรถยนต์และการจัดงานอีเวนท์ระดับชาติ โดย นายจตุพร ขันมณี และ นายวิลักษณ์ โหลทอง ร่วมกันเป็นประธานการจัดงาน พร้อมด้วยบริษัทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ชั้นนำ อาทิ ซูซูกิ, ฟอร์ด, อีซูซุ, นิสสัน, มาสด้า, โตโยต้า, ยามาฮ่า ฯลฯ รวมทั้งบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์

Thailand Motor Festival 2013


นายจตุพร ขันมณี ประธานการจัดงานร่วม Thailand Motor Festival 2013 เปิดเผยว่า “มหกรรมแสดงรถยนต์แห่งประเทศไทยในชื่อ Thailand Motor Festival 2013 นับเป็นการจัดงานแสดงและจัดจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ออกสู่ภูมิภาคเป็นครั้งแรกของไทย ซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากบริษัทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น ซูซูกิ, ฟอร์ด, อีซูซุ, นิสสัน, มาสด้า, โตโยต้า, ยามาฮ่า รวมทั้งบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ เข้าร่วมงาน

การจัดงานครั้งนี้จะเป็นการเปิดตลาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จากกรุงเทพและปริมณฑลให้ได้ขยายวงกว้าง สู่ตลาดต่างจังหวัด ซึ่งในปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยมีอัตราการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สืบเนื่องจาก ผลของนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก และแต่ละบริษัทรถได้มีการเปิดตัวรถยนต์หลายรุ่นรวมทั้งรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ที่ทั้งประหยัดพลังงาน สะดวกในการใช้งาน และมีราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้

จากการเติบโตที่ผ่านมาทำให้มองเห็นกำลังซื้อของผู้บริโภคทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงผู้บริโภคในต่างจังหวัดอีกด้วย เห็นได้จากการจัดงานไทยแลนด์ อีโคคาร์ 2012 ด้วยการสำรวจภายในงานพบว่ามีผู้บริโภคจากต่างจังหวัดให้ความสนใจ และเดินทางเข้ามาเลือกซื้อเลือกชมในงานนั้นเป็นจำนวนมาก

การจัดงาน Thailand Motor Festival 2013 มหกรรมแสดงรถยนต์แห่งประเทศไทย ถือเป็นการขานรับการเติบโตดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ตลาดรถยนต์ต่างจังหวัดมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนั้นยังถือเป็นการอำนวยความสะดวกทำให้ผู้บริโภคในต่างจังหวัดได้เลือกชม-เลือกซื้อง่ายขึ้น โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคแรกของการจัดงาน ตั้งแต่วันที่ 8-17 กุมภาพันธ์ 2556

Thailand Motor Festival 2013


คณะผู้จัดงานขอขอบคุณผู้สนับสนุน บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ตรีเพชร อีซูซุ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, ธนาคารกสิกรไทย, บริษัท แมนทัส จำกัด, บริษัท ดันลอป ไทร์ (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท มาร์แชล แอร์โรพาท จำกัด, พีเค ออโต้ซาลอน, บริษัท แวนด้า แพค จำกัด รวมทั้งบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และสื่อมวลชนทุกแขนงที่ได้ให้การสนับสนุนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดงานครั้งนี้ เป็นอย่างดี”

นายวิลักษณ์ โหลทอง ประธานการจัดงานร่วม ไทยแลนด์ มอเตอร์ เฟสติวัล 2013 เผยว่า “การจัดงาน Thailand Motor Festival 2013 มีรูปแบบการจัดงานที่มีความทันสมัยและได้มาตรฐานสูง เป็นการพัฒนาการจัดงานแสดงรถยนต์และรถจักรยานยนต์ประจำภูมิภาคเข้าสู่รูปแบบสากลครั้งแรกของเมืองไทย โดยได้รับการสนับสนุนพื้นที่การจัดงานเป็นอย่างดีจาก บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ตลอดทั้ง 10 วันที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น แบ่งเป็น 2 ส่วนคือลานโปรโมชั่น ชั้น 1 และ ขอนแก่นฮอลล์ ชั้น 5 ภายในงานจะมีการแสดงรถยนต์, รถจักรยานยนต์, อุปกรณ์ตกแต่งใหม่ล่าสุด พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการขายโปรโมชั่นพิเศษ และยังได้ร่วมกับคาร์คลับของจังหวัดขอนแก่นในการจัดพาเหรดเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมครั้งนี้

นอกจากนั้นจะได้พบกับมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินดาราชื่อดัง พอร่ช ศรันย์, รุจ เดอะสตาร์, ตุ้ย เอเอฟ 3, ซานิ เอเอฟ 6 , ซาร่า เอเอฟ 3, เนส เอเอฟ 9 และดาราจากเวทีมิสทีน ไทยแลนด์, ไฮไลท์พิเศษโชว์ล้างรถจากดาราชื่อดัง “นก-อุษณีย์” ร่วมด้วยสาวข้างบ้านสุดเซ็กซี่ FHM GND, การเล่นเกมส์ลุ้นรับของรางวัลและกิจกรรมอีกมากมาย คณะผู้จัดงานเชื่อว่าการจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเท่านั้น แต่จะกระตุ้นให้ตลาดรถยนต์ต่างจังหวัดมีความคึกคัก ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ”


ข่าวแนะนำ

เชฟโรเลต มอบประสบการณ์เหนือความพิเศษให้แก่ชาว เชฟวี่ พลัส
เชิญชมงานแสดง แลนด์โรเวอร์ suv ระดับโลก ณ ดิ เอ็มโพเรี่ยม วันนี้จนถึง 27 มกราคม 2556
วิธีเปลี่ยนยางรถยนต์ การเปลี่ยนยาง อย่างถูกวิธี ลดเวลาและความเสี่ยง





วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Honda Brio Amaze เหนือไปอีกขั้นกับ Eco Car Sedan

ถ้าคิดว่า Honda Brio Amaze งาน Eco Car Sedan จะมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกับตัว Hatchback ล่ะก็เราขอบอกว่าคิดผิดถนัด เพราะ Honda Brio Amaze นอกจากจะเป็นรถ Eco Car แล้วมันยังเป็นงานยกระดับมาตรฐาน ที่อัพเกรดขึ้นจากเวอร์ชั่น Hatchback จนคุณรู้สึกได้เลยทีเดียว … !!!

Honda Brio Amaze


หน้าตาคล้าย แต่ให้อารมณ์คนละแบบ
ไม่ว่าจะเห็นตัวจริง หรือภาพในแคตตาล็อคก็ตาม หน้าตาของมันก็ยังคงความเป็นอนุกรม Brio เอาไว้อย่างเด่นชัด จุดต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคงต้องยกให้กับลวดลายของกระจังหน้าที่เพิ่มวัสดุโครเมี่ยมเข้าไปเพื่อให้ดูหรูหราขึ้น แล้วก็ในส่วนในกระจังหน้าที่รุ่นท็อปจะเป็นสีเดียวกับตัวรถ ต่อเนื่องมาถึงล้อที่แม้จะใช้ขนาดเดิม และยางซีรี่ส์เดิม แต่ก็เติมความสดใหม่ให้กับลวดลายของล้องเพื่อให้โดดเด่นมากขึ้นนั่นเอง

มาถึงความแตกต่างที่แท้จริงจะเกิดขึ้นตั้งแต่ส่วนเสา B-Pillars ยาวไปจนถึงด้านหลัง ที่แม้จะต้องการความเป็นซีดาน แต่ก็ยังคงไว้บนพื้นฐานของรถ Eco Car ที่กระชับ โดยใช้การออกแบบและดีไซน์สำหรับการเพิ่มพื้นที่ภายในเป็นหลัก ทำให้นแนวเส้นหลังคาในด้านหลังถูกเพิ่มขึ้น แล้วจึงตัดลาดลงในด้านหลังสู่การออกแบบของรถซีดานที่มีท้ายเหลี่ยมๆ แต่สะดุดตาด้วยชุดไฟท้ายชิ้นเดียวที่โฉบเฉี่ยว พร้อมกับคาดแถบโครเมี่ยมที่ขอบฝากระโปรงหลังเพื่อเพิ่มความหรูขึ้นไปอีกระดับ

Honda Brio Amaze



ผลจาก Hatchback สู่ Sedan
Honda Brio Amaze มากับมิตัตตัวถังที่ยาวขึ้น 380 มม, รวมเป็น 3,990 มม. และยืดความยาวฐานล้อเพ่มขึ้นอีก 60 มม. เป็น 2,405 มม. ส่วนความกว้าง และความสูงยังเท่าเดิมที่ 1,680 มม. และ 1,485 มม. ตามลำดับ มีน้ำหนักตัวรถน้อยกว่า 1 ตัน (965 กก.) ประเด็นสำคัญที่ทำให้ Honda Brio Amaze มีความยาวตัวรถ และความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้นก็เพื่อต้องการเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะห้องโดยสารด้านหลังที่ช่วยให้นั่งสบายมากขึ้น แถมในตำแหน่งเบาะหลังของ Brio Amaze ยังมีพนักแขนกลาง พร้อมที่วางแก้วติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานอีกด้วยเช่นกัน แต่ไม่สามารถปรับพับก็กระทำการใดๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่วางสิ่งของในแนวยาวได้ ส่วนห้องเก็บสัมภาระด้านหลังนั้นสามารถจุของได้ 400 ลิตร สำหรับห้องโดยสารตอนหน้านั้นแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจาก Brio Hatchback นอกจากฝาปิดลิ้นชักเก็บของด้านหน้าที่เคยเป็นสีเบจในรุ่น Hatchaback ก็เปลี่ยนเป็นสีดำให้กับรุ่น Amaze นอกเหนือจากนี้ก็จะมีในส่วนของผ้าหุ้มเบาะทั้งด้านหน้า และด้านหลังที่เปลี่ยนลวดลายใหม่ทำให้ดูหรูขึ้น

Honda Brio Amaze


On The Drive
สมรรถนะของ Honda Brio Amaze นั้นเป็นรู้จักกันดี เพราะเป็นขุมพลังบล็อกเดียวกับที่ใช้ในเวอร์ชั่น Hatchback ซึ่งนั่นก็คือ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC ความจุ 1,198 ซี.ซี. กำลังสูงสุด 90 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 11.2 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ CVT ที่มีระบบควบคุมการเคลื่อนตัว มีเซ็นเซอร์วัดความเอียงของตัวรถ มีเซ็นเซอร์อุณหภูมิน้ำมันเกียร์ เพิ่มระยะการล็อกของคลัตช์ นอกจากนี้ชุดเกียร์ยังได้รับการออกแบบให้มีน้ำหนักเบาและมีขนาดเล็ก ถังน้ำมันมีความจุ 35 ลิตร และความเร็วก็ยังคงล็อคเอาไว้ที่ราวๆ 140-145 กม./ชม. เหมือนเดิม

ฟิลลิ่งการขับโดยรวมยังคงสืบทอดอารยธรรมของเวอร์ชั่น Hatchback มาอย่างครบถ้วน น้ำหนักพวงมาลัยกำลังดีทำให้การสับเปลี่ยนเลน์เป็นไปอย่างมั่นใจ และคล่องมือ แม้ความยาวตัวรถจะเพ่มขึ้นแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ส่วนการตอบสนองของเครื่องยนต์ และเกียร์ CVT เป็นไปอย่างสมเหตุ สมผล ไม่ได้พุ่งพรวดๆ เหมือเกียร์อัตโนมัติทั่วไป แตต่เกียร์ CVT ต้องอาสัยการเพิ่มน้ำหนักคันเร่งไต่ระดับความเร็วขึ้นไปอย่างนุ่มนวลเหมือนกับเวอร์ชั่น Hatchback

Honda Brio Amaze


ไฮไลต์อันโดดเด่น
ที่บอกว่าเป็นงานยกระดับมาตรฐานได้อย่างเต็มปากเต็มคำก็เพราะว่า Amaze มีการพัฒนาช่วงล่างขึ้นอย่างที่รู้สึกได้ แม้จะเป็นพื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังทอร์ชั่นบีมแบบ H-Shape เหมือนตัว Hatchback ก็ตาม แต่เหมือนได้ลองขับจะพบกับความแตกต่างทันที จากการที่วิศวกรได้รับระดับความหนืดของตัวช๊คอัพให้มากขึ้น เซ็ทอัพสปริงให้แข็งขึ้น และเปลี่ยนเหล็กกันโคลงให้มีขนาดใหญ่กว่า ทำให้การทำงานของช่วงล่างมีความโดดเด่นในประสิทธิภาพมากขึ้น จนรู้สึกได้ถึงระดับความเฟิร์มที่มากกว่า Brio Hatchback โดยเฉพาะในย่านความเร็วตั้งแต่ 80-120 กม./ชม. จะสัมผัสได้ถึงความนิ่ง ความหนึบอย่างชัดเจน ทั้งยังส่งผลในเรื่องระบบเบรกที่ตอบสนองได้ดีขึ้นอีกด้วย อีกจุดหนึ่งที่น่าประทับใจใน Brio Amaze ก็คือ การเก็บเสียงที่ทำได้ดีขึ้น ซึ่งน่าจะเกิดจากวัสดุซับเสียงใหม่ และแผงประตูที่ทำออกมาเต็มบานไม่ได้เว้นโหว่ตรงช่องเก็บของด้านล่างเหมือนอย่าง Brio Hatchback ทำให้เวลาขับด้วยความเร็วสบายหูมากขึ้นอย่างชัดเจนทีเดียว

Honda Brio Amaze


Honda Brio Amaze

ข้อสรุปสำหรับรุ่นนี้
“คุ้มค่า” คำนิยามที่น่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับ Honda Brio Amaze เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่านี่คือชิ้นงานยกระดับมาตรฐาน ที่ตอบโจทย์สาวกรถ Sedan ขนาดเล็ก ในเรื่องพื้นที่ใช้สอยเป็นหลัก ในขณะที่เรื่องสมรรถนะก็ยังคงเป็นรถ Eco Car ในอนุกรม Brio ที่คุ้นเคยกันดี ทั้งในเรื่องอัตราเร่งที่สมเหตุ สมผลกับเครื่องยนต์พิกัด 1.2 ลิตร และอัตราการประหยัดน้ำมันชนิดหวังผลได้โดยไม่ต้องมีเทคโนโลยีอะไรมาเสริม เพราะอย่างน้อยก็อุ่นใจได้ว่าบรรดาเจ้าของคงไม่ต้องเสียเงินซ่อมระบบอิเลคโทรนิกส์ หรืออะไรกันมากมาย หลังจากหมดวารันตีแน่นอน

จุดบกพร่องที่อยากให้แก้ไขหลักๆ ก็คงมีเรื่องของรสนิยมการเลือกใช้โทนสีภายในมากกว่า เพราะการดีไซน์ก็ถือว่าไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรมากมาย แต่โทนสีภายในน่าจะมีแค่ 2 สีก็พอ หรือไม่ก็สีใดสีหนึ่งล้วนๆ ไปเลยไม่ต้องเอาสีน้ำตาลมาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดควรปรับพื้นผิววัสดุด้วยคงยอดเยี่ยมๆ เพราะดูผ่านๆ พื้นผิวสัมผัสมันกลายเป็นจุดสำคัญที่หลายคนประเมินค่าวัสดุที่ใช้ต่ำลง ทั้งๆ ที่มันเป็นวัสดุชนิดเดียวกับที่ใช้ในโมเดลของ Honda เหมือนกันเพราะถ้าปรับปรุงแก้ไขในส่วนนี้ได้ ทั้ง Brio และ Brio Amaze คงกวาดยอดขายกันจนผลิตไม่พอแน่ะล่ะครับงานนี้


ข่าวแนะนำ

VW Golf Plus Life สุดยอดของอรรถประโยชน์ใช้สอย
COROLLA KE70 มรดกคุณตา แต่ง Retro Car แบบไม่งบบาน
จากโตเกียว ออโต ซาลอน สู่งาน บางกอก อินเตอร์เนชันแนล ออโต ซาลอน 2013



วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปอร์เช่ 911 Carrera 4S เหนือชั้นกว่าทุกประสิทธิภาพ

บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว ปอร์เช่ 911 Carrera 4S ซึ่งได้รับการสรรสร้างให้ออกมาเป็น 911 คาร์เรร่า (911 Carrera) ใหม่ล่าสุดที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพและศักยภาพเครื่องยนต์ที่เหนือชั้นและมาพร้อมกับจุดเด่นในเรื่องของความคล่องตัวว่องไว และมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ active all-wheel drive system ที่มาพร้อมกับระบบ PTM (Porsche Traction Management) อีกด้วย ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่เป็นแบบฉบับของปอร์เช่ ซึ่งเน้นที่ทางด้านหลังใน 911 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้จะเป็นเสมือนเครื่องการันตีได้ถึงความคล่องตัวของรถที่เหนือชั้นไม่ว่าจะอยู่บนสภาวะท้องถนนในรูปแบบใดหรือในสภาวะอากาศใดก็ตาม 911 คาร์เรร่า 4 เอส (911 Carrera 4S) ใหม่นี้จะเต็มไปด้วยประสิทธิภาพการขับเคลื่อนที่คล่องตัวและเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม

ปอร์เช่ 911 Carrera 4S


ซึ่งในวันนี้เอเอเอสฯ พร้อมแล้วที่จะนำท่านสัมผัสกับอีกหนึ่งสุดยอดนวัตกรรมยานยนต์จากปอร์เช่ ที่สรรสร้างและรวบรวมเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมาสู่ ปอร์เช่ 911 Carrera 4S คันนี้ได้อย่างใกล้ชิด และเมื่อซื้อรถยนต์ ปอร์เช่ 911 Carrera 4 และ ปอร์เช่ 911 Carrera 4S ใหม่จากทาง เอเอเอสฯ ท่านสามารถเลือกรับข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับการรับประกันจากโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีนาน 9 ปี และ Service Package นานถึง 4 ปี* (Terms & Condition Apply)

911 แบบขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่ล่าสุดนี้จะเริ่มทำการเปิดตัวสู่ตลาดถึง 4 เวอร์ชั่นด้วยกัน นั่นคือ ปอร์เช่ 911 Carrera 4, ปอร์เช่ 911 Carrera 4S ทั้งในรูปแบบคูเป้ (Coupe) และคาบริโอเลต (Cabriolet) ซึ่งความเป็นสปอร์ตจะเต็มพิกัดเสมือนเวอร์ชั่นขับเคลื่อนล้อหลัง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบรถให้เน้นเรื่องน้ำหนักเบา ระบบกันสะเทือน (ช่วงล่าง) เครื่องยนต์ และระบบส่งผ่านกำลัง ซึ่งมีเพียงระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อเท่านั้นที่แตกต่างออกไป เครื่องยนต์จะมีประสิทธิการขับเคลื่อนในระดับสูง ทั้งสี่รุ่นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่น้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 16% เลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านี้รุ่น 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4) ใหม่นี้จะมีน้ำหนักที่เบากว่าเดิมถึง 65 กิโลกรัมเลยทีเดียว

ปอร์เช่ 911 Carrera 4S


คุณสมบัติที่โดดเด่นและแตกต่างของ 911 แบบขับเคลื่อนสี่ล้อคือความกว้างของด้านหลังรถ หากเปรียบเทียบกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง ซุ้มล้อทางด้านหลังจะขยายกว้างขึ้นข้างละ 22 มิลลิเมตร ยางหลังจะมีความกว้างกว่าเดิม 10 มิลลิเมตร ไฟท้ายแดงที่เชื่อมยาวจากไฟท้ายข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ยังคงอยู่แต่ได้มีการพัฒนาออกมาในรูปแบบใหม่อีกด้วย

ทุกรุ่นจะติดตั้งระบบส่งผ่านกำลังหรือระบบเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะมาเป็นมาตรฐานให้กับตัวรถ และยังสามารถเลือกติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK เป็นอุปกรณ์เสริมได้ รุ่น 911 คาร์เรร่า 4 คูเป้ (911 Carrera 4 Coupe) มีพละกำลังแรงม้าสูงสุดถึง 350 แรงม้า (257 กิโลวัตต์) และสามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียงแค่ 4.5 วินาทีเท่านั้น (รุ่นคาบริโอเลตทำได้ในเวลา 4.7 วินาที) ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (รุ่นคาบริโอเลต: 282 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งด้วย อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK มาด้วยแล้ว สำหรับรุ่นคูเป้จะอยู่แค่เพียง 8.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 203 กรัม/กิโลเมตร) ส่วนรุ่นคาบริโอเลตอยู่ที่ 8.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 205 กรัม/กิโลเมตร)

ปอร์เช่ 911 Carrera 4S


ทั้งรุ่นคูเป้และคาบริโอเลตของ 911 คาร์เรร่า 4 เอส นี้ต่างมีเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตรแบบ boxer ติดตั้งทางด้านหลัง และสร้างพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 400 แรงม้า (294 กิโลวัตต์) ทำให้สร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 4.1 วินาทีเท่านั้น (รุ่นคาบริโอเลต: 4.3 วินาที) ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 299 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (รุ่นคาบริโอเลต: 296 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK สำหรับรุ่นคูเป้อยู่ที่ 9.1 ลิตร/100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 215 กรัม/กิโลเมตร) ส่วนรุ่น คาบริโอเลตอยู่ที่ 9.2 ลิตร/100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 217 กรัม/กิโลเมตร)

ปอร์เช่ 911 Carrera 4S

ใหม่นี้จะมีเมนูใหม่ที่แผงหน้าปัดเพื่อทำการแจ้งเตือนผู้ขับขี่ว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ PTM นั้นกำลังกระจายพละกำลังเครื่องยนต์อย่างไร ไม่เพียงเท่านี้ยังมีระบบ Adaptive Cruise Control (ACC) ให้เลือกติดตั้งได้ในทุกๆ รุ่น เพื่อควบคุมระยะห่างและความเร็วของรถอีกด้วย หากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK มาด้วยแล้วนั้นระบบ ACC จะเพิ่มฟังก์ชั่นความปลอดภัย Porsche Active Safe (PAS) เพื่อช่วยป้องกันการชนทางด้านหน้า ไม่เพียงเท่านี้ปอร์เช่ยังนำเสนอกระจกซันรูฟใหม่ล่าสุดให้ติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถเลือกติดตั้งได้สำหรับ ปอร์เช่ 911 Carrera Coupe อีกด้วย หาก 911 ติดตั้งระบบเกียร์มาตรฐานและระบบ Sport Chrono Pack มาด้วยนั้นจะสามารถเพิ่มความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น หากอยู่ในโหมดสปอร์ต พลัส แล้วนั้นระบบจะทำการ double-declutches ระหว่างลดระดับเกียร์อีกด้วย

ปอร์เช่ 911 Carrera 4S


รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่นี้ออกมาทดแทนเจเนอเรชั่นเดิมที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งมียอดขายถึง 24,000 คันตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ถือได้ว่ามีส่วนแบ่งการตลาดจากยอดขาย 997 เจเนอเรชั่นที่ 2 ถึง 34% เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาของระบบขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ 911 ที่มาพร้อมกับการขับเคลื่อนสี่ล้อ อีกทั้งยังมีเครื่องยนต์ที่มาพร้อมกับระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (Direct petrol injection) ระบบเกียร์อัตโนมัติ (Porsche Doppelkupplung (PDK)) และระบบควบคุมการทรงตัว Porsche Traction Management (PTM) แบบไฟฟ้า ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2011 ปอร์เช่ส่ง ปอร์เช่ 911 Carrera 4 GTS ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตรและมีพละกำลังสูงสุดถึง 408 แรงม้า (300 กิโลวัตต์) ออกมาด้วยเช่นกัน

สำหรับประเทศไทย ท่านสามารถค้นหาหรือสอบถามเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4) และ ปอร์เช่ 911 Carrera 4S ได้จาก บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีโดยตรง พร้อมให้บริการรถปอร์เช่ของท่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ ได้ที่ แผนกขาย โทร. 02-522-6655 ต่อ 101-103


ข่าวแนะนำ

ที่ปัดน้ำฝน กับปัญหาที่แก้ไม่จบ ยามหน้าฝน
กลุ่มอีซูซุ พัฒนาทักษะด้านการขาย และการบริการ แก่พนักงาน
พื้นที่จอดรถเฉพาะผู้ถือบัตร มิราเคิล การ์ด เซ็นทรัล พลาซ่า แกรนด์ พระราม 9



รุกทั่วไทยแล้ว Forza300 บิ๊กสกู๊ตเตอร์ จาก เอ.พี.ฮอนด้า

บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย วางจำหน่าย Honda Forza300 แล้วตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นไป หลังจากที่เปิดตัวต่อสาธารณชนไปเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาในงานแถลงนโยบายประจำปี วางเป้าหมายเจาะกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ที่ชื่นชอบการเดินทางไกล ให้ความมั่นใจในทุกเส้นทางด้วยเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน สนนราคาโดยประมาณที่ 159,000 บาท

Forza300


Forza300

ได้รับการออกแบบให้เป็นบิ๊กสกู๊ตเตอร์ที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งสมรรถนะและดีไซน์ที่หรูหราภายใต้คอนเซปต์ “The Grand Voyage” ใช้เครื่องยนต์ 4 จังหวะขนาด 300cc. ระบบหัวฉีด PGM-FI เกียร์อัตโนมัติ CVT นับเป็นครั้งแรกที่รถในตระกูล Forza ได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่ระดับนี้ ทำให้การขับขี่ในระยะทางไกลกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น พร้อมระบบโอรีโอลิงค์ (Oreo-Link Engine Mount) ที่ช่วยลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ที่ส่งผ่านมายังตัวถังเพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวลในทุกสภาพถนน ปลอดภัยด้วยดิสก์เบรคหน้า-หลังขนาดใหญ่พร้อมระบบเบรกแบบ Combined ABS ทำงานคู่กับคาลิปเปอร์แบบ 3 ลูกสูบ ช่วยให้ควบคุมรถได้แม้ต้องหยุดกระทันหัน นอกจากนี้ Honda Forza300 ยังมาพร้อมกับระบบฟังก์ชั่นเพื่อความปลอดภัยอีกมากมายอาทิสวิตช์หยุดการทำงานของเครื่องยนต์ สวิตช์ไฟขอทาง และระบบไฟฉุกเฉินเช่นเดียวกับรถยนต์

Forza300


ในส่วนของการดีไซน์ Honda Forza300 ถูกออกแบบอย่างประณีตในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าคู่ขนาดใหญ่พร้อมไฟหรี่, ไฟท้ายแบบบิวท์อินดีไซน์รับกับเส้นสายของตัวถังรถ, แผงหน้าปัดแบบ Body Mount Meter ให้อารมณ์สปอร์ต บอกข้อมูลครบครัน, ท่อไอเสียแบบสปอร์ตพร้อมอุปกรณ์ดูดซับเสียง ให้เสียงที่นุ่มและเงียบเป็นพิเศษ, แผงคอนโซลเปิด-ปิดเก็บของได้ทั้งด้านซ้ายและขวา พร้อมช่องจ่ายไฟสำรองสำหรับชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ, เบาะหนังขนาดใหญ่พร้อมพนักพิงหลัง นั่งสบายทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายตลอดการเดินทาง มาพร้อมกับกล่องเก็บสัมภาระใต้เบาะขนาดใหญ่ความจุมากกว่า 62 ลิตร สามารถใส่หมวกกันน็อคแบบเต็มใบได้พร้อมกันถึง 2 ใบ

เอ.พี.ฮอนด้า วางแผนการจำหน่าย Forza300 ที่ศูนย์จำหน่ายและบริการ Honda Wing Center ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป ที่ราคาโดยประมาณ 159,000 บาท มีให้เลือก 3 เฉดสี ได้แก่ ขาว แดง และดำ


ข่าวแนะนำ

มาสด้า เล็งไทยเป็นฐานผลิตสุดยอด เกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV
โตโยต้า หนุนสุดยอด ฟุตบอลลีกไทย 3 รายการใหญ่
ผลโหวตสาวสวย Motor Expo Smart Pretty Vote 2012



วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Lexus IS 2014 ทรงพลัง และ งามสง่า

ภาพชุดแรกของ Lexus IS 2014 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่ปล่อยออกมานั้นแสดงถึงงานดีไซน์อันทรงพลัง และงามสง่า พร้อมด้วยความกว้างขวางของห้องโดยสาร เพื่อให้ผู้ขับขี่มีทัศนวิสัยที่ดี ซึ่งนี่คือแนวทางการดีไซน์ที่สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากรถต้นแบบ LF-CC ที่จัดแสดงโชว์ตัวไปในงาน Paris Motor Show 2012

Lexus IS 2014


โดยรายะละเอียดคร่าวๆ ที่เปิดเผยนั้นทางต้นสังกัดได้ปล่อยข่าวว่า Lexus IS 2014 ใหม่นี้จะมีทั้งความทรงพลัง ความงามสง่า และภาพลักษณ์ แบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีเอกลักษณ์มากขึ้น เช่นในส่วนของด้านหน้าที่มากับกระจังขนาดใหญ่ ดีไซน์ไฟหน้าอันโฉบเฉี่ยว และสัญลักษณ์สำคัญของแบรนด์ ซึ่งก็คือ ชุดไฟ DRL (Daytime Running Lights) ที่จัดเรียงตัวเป็นรูป L-Shaped อยู่ด้านล่าง รับกับแนวเส้นสายที่ต่อเนื่องจากด้านหน้าไปถึงรูปทรงของด้านหลังที่มีขนาดใหญ่ ขึ้นนำสายตาสู่ชุดไฟท้ายใหม่ที่โดดเด่น
ภายในยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเรียบหรู สง่างามไว้อย่างครบถ้วน และด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้นได้ทำให้เบาะโดยสารด้านหลังนั่งสบาย พร้อมด้วยห้องเก็บสัมภาระที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกด้วย อีกทั้งเบาะนั่งคู่หน้ายังทำการออกแบบให้บางลงทำให้ช่วงเข่า (Knee Room) มีพื้นที่กว้างขึ้นในระดับที่ดีที่สุดในคลาสเลยทีเดียว ส่วนเบาะนั่งด้านหลังนั้นก็เพิ่มความอเนกประสงค์ลงไปด้วยการปรับพับได้แบบ 60:40
เบาะนั่งคู่หน้าได้รับการออกแบบใหม่ให้นั่งได้สบายขึ้น โดยในตำแหน่งสะโพกนั้นออกแบบให้ทำมุมองศาได้ระดับกับตำแหน่งของชุดพวงมาลัยแบบใหม่ ซึ่งในจุดนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Super Car ในค่ายอย่าง LFA เพื่อให้ผู้ขับขี่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ควบคุมรถได้ดีราวกับกำลังขับรถสปอร์ต

Lexus IS 2014


วัสดุการตกแต่งภายในต่างๆ ได้รับการพัฒนาด้วยระบบ HMI Technology โดยมีตุดเด่นเป็นนาฬิกาแบบอนาล็อคคุณภาพสูง ตำแหน่งคอนโซลกลางมีความพิเศษในส่วนของสวิทช์ Electrostatic ที่ควบคุมระบบปรับอากาศได้โดยการสัมผัส ซึ่ง Lexus IS 2014 ได้นำมาติดตั้งเป็นครั้งแรก

Lexus IS 2014


รายละเอียดรุ่นย่อยนั้นยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่จากข่าวในเว็บไซต์ Lexus ได้กล่าวถึงไลน์อัพที่จะผลิตออกมาว่ามี ตั้งแต่ IS250, IS350 และรุ่นแรกของ Lexusที่มากับระบบ Hybrid คือ IS300h และปิดท้ายด้วยเวอร์ชั่น Top Range ที่เน้นอารมณ์สปอร์ตกับรหัส F Sport ที่จะเสริมความโดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบพิเศษ รับกับกันชนหน้าแบบใหม่ที่ยกระดับให้เหนือกว่ารุ่นมาตรฐาน ในขณะที่ภายในติดตั้งเบาะโดยสารใหม่ที่นั่งสบาย และโอบกระชับสรีระมากขึ้น



ข่าวแนะนำ

รถ รุ่น ใหม่ Skoda Octavia
รถใหม่2013 Nissan GT-R ที่สุดของสมรรถนะการขับขี่
ข่าว porsche : ยอดขายในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิคสูงขึ้นถึง 4,730 คันในปี 2012


Mercedes E63 AMG Saloon and Estate โมเดลเวอร์ชั่นล่าสุดของ E-Class


Mercedes E63 AMG Saloon and Estate


Mercedes E63 AMG Saloon and Estate ใช้พื้นฐานของโมเดล E-Class เวอร์ชั่นล่าสุดทั้งแบบ Saloon และ Estate มาจัดหนักเป็นรุ่น E63 AMG ที่เปิดตัวด้วยรุ่นพื้นฐาน และรุ่น Top Range S-Model ซึ่งรายละเอียดการตกแต่งภายนอกของรุ่น S-Model นั้นจะประกอบไปด้วย กันชนหน้าที่มากับช่องดักอากาศขนาดใหญ่สีดำ High-Gloss Black เป็นลักษณะ A-Wing เสริม Spiltter ด้านหน้าด้วยสีเงินโครเมี่ยม ส่วนด้านหลังเพิ่มความเฉียบคมทรงพลังด้วยกันชนท้ายแบบที่มี Diffuser ในตัว รับกับท่อไอเสียโครเมี่ยมทรงเหลี่ยมคู่ AMG Sports Exhaust System ซ้าย-ขวา จะติดตั้งสปอยเลอร์ AMG สีเดียวกับตัวรถมาให้ในบอดี้ Saloon พร้อมโลโก้ AMG และโลโก้ “S” สีดำ


Mercedes E63 AMG Saloon and Estate


ส่วนภายในของรุ่น S-Model เน้นโทนสีเทา ปูพรมอารยธรรม AMG ไว้โดยรอบ เช่นการปักโลโก้บนเบาะนั่งสปอร์ต และหัวหมอน รวมถึงแผงกาบบันได พนักวางแขน บนคอนโซลกลาง ส่วนเข็มขัดนิรภัยจะเป็นสีเงิน และแผง On Board เน้นความเคร่งขรึมด้วยโทนสีดำ รับกับพวงมาลัย AMG Performance Steering หุ้มด้วยหนังสีดำ Black Nappa ซึ่งบริเวณที่มือสัมผัสจะหุ้มด้วยหนัง Alcantara ส่วนมาตรวัดมากับดีไซน์ใหม่ที่มีโลโก้ “S AMG” แสดงความเร็วได้ถึง 320 กม./ชม. และแสดง Applications ต่างๆ ด้วยตัวหนังสือสีแดง ในขณะที่รุ่นมาตรฐานนั้นจะมากับออพชั่นเบาๆ อย่างกาบบันได AMG พร้อมไฟ LED สีขาว, ระบบเตือนจุดอับสายตาด้านหลังสำหรับรุ่น Saloon และสุดท้ายคือระบบป้องกันการโจรกรรม

Mercedes E63 AMG Saloon and Estate


สำหรับขุมพลังนั้นแม้จะยังใช้ขุมพลัง 5.5 ลิตร V8 Biturbo แต่ทางสำนัก AMG ก็ได้เซ็ทอัพขึ้นใหม่ ในรุ่นมาตรฐานขับเคลื่อน 2 ล้อหลังเค้นกำลังได้ถึง 557 แรงม้า พร้อมแรงบิด 720 นิวตันเมตร และประหยัดขึ้นด้วยตัวเลข 9.8 ลิตร/100 กม. สะอาดขึ้นด้วยการปล่อยค่า CO2 เพียง 230 กรัม ส่วนรุ่น Top Range S-Model นั้นมากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC All-Wheel Drive มีไว้ตอบสนองความสะใจอีกระดับกับพละกำลังถึง 585 แรงม้า และแรงบิดสูงถึง 800 นิวตันเมตร พร้อมความสามารถในการบริหารจัดการเชื้อเพลิงราว 10.3-10.5 ลิตร /100 กม. กับค่า CO2 ที่ปล่อยเพียง 242 – 246 กรัม

Mercedes E63 AMG Saloon and Estate


ทางด้านระบบส่งกำลังนั้นเป็นเกียร์ AMG Speedshift MCT 7 สปีด มาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ คือ “C” (Controlled Efficiency) ที่ผู้ขับขี่สามารถปรับเซ็ทอัพได้ตามความชอบเอง และต่อเนื่องกันด้วยโหมด “S” (Sport), “S+” (Sport plus) and “M” (Manual) เพิ่มเทคโนโลยี ECO Start/Stop มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่นเดียวกับระบบ Race Start เพื่อเพิ่มความเร้าใจขณะขับขี่ขึ้นอีกระดับ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ของรุ่น S-Model ได้มีการเซ็ทอัพอัตราส่วนการกระจายแรงบิดหน้า/หลัง เท่ากับ 33/67 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ได้อรรถรสของการขับเคลื่อนล้อหลังในสไตล์ AMG พร้อมด้วยการอัพเกรดระบบควบคุมเสถียรภาพ 3 ระดับ The 3-stage ESP® รวมถึงระบบเบรกที่สามารถกระจายแรงเบรกได้ตามสภาวะการขับขี่เพื่อให้มีเสถียรภาพสูงสุด อีกทั้งในรุ่น S-Model ยังได้ติดตั้งระบบล็อคเฟืองท้าย Differential Lock มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อกลายเป็นยนตรกรรมที่สามารถสนุกสนานได้ทั้งบนถนน และในสนาม

Mercedes E63 AMG Saloon and Estate


ชุดช่วงล่าง AMG Ride Control มากับระบบบ AMG DRIVE UNIT สามารถปรับความแข็ง-อ่อนของ Damper และโช๊คอัพได้ด้วยระบบไฟฟ้า สำหรับเลือกโหมดการขับขี่ทั้ง 3 แบบ คือ “Comfort”, “Sport” และ “Sport” เสริมความมั่นใจด้วยระบบเบรกสมรรถนะสูงจาก AMG โดยรุ่นมาตรฐานจะใช้ขนาดจานด้านหน้า และหลัง 360 มม. จับคู่กับคาลิปเปอร์สีเงินด้านหน้า 6 Pot หลัง 4 Pot ส่วนรุ่นพิเศษ S-Model เพิ่มอำนาจจการหยุดยั้งด้วยชุดเบรก “AMG Carbon Ceramic” จับคู่กับคาลิปเปอร์สีแดง และจานเบรกขนาด 402 มม. ส่วนล้อที่ใช้ในรุ่นมาตรฐานจะมากับลาย 10 ก้าน สีเทา Titanium Grey พร้อมยางซีรี่ส์ 255/40 R 18 หน้ากว้าง 9.0 นิ้วในด้านหน้า และด้านหลังซี่รี่ส์ 285/35 R18 หน้ากว้าง 9.5 นิ้ว ส่วนรุ่น S-Model ขับเคลื่อน 4 ล้อขยายล้อขึ้นเป็น 19 นิ้ว ลาย 10 ก้าน สีเทา Titanium Grey เหมือนกัน แต่มาพร้อมยางซีรี่ส์ 255/35 R 19 กว้าง 9.0 นิ้วด้านหน้า และซีรี่ส์ 285/30 R 19 กว้าง 9.5 นิ้วในด้านหลังเช่นกัน ซึ่งจะเพิ่มความสนุกในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น กับ Mercedes E63 AMG Saloon and Estate