วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

ADRENALINE CALLING ประสบการณ์เร้าใจกับ The New Lexus IS


เลกซัสกรุ๊ป บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เผยโฉมยนตรกรรมสปอร์ตซีดานหรูระดับโลก เลกซัส IS ใหม่ ที่ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีเหนือระดับ ควบคู่ไปกับที่สุดแห่งศาสตร์ของการออกแบบ และ คุณภาพแห่งวิศวกรรมการผลิตระดับโลก เพื่อลูกค้าชาวไทยได้สัมผัสล่าสุด

ปลุกสัญชาตญาณสปอร์ตในตัวคุณ กับรถสปอร์ตซีดานหรูเหนือระดับ เลกซัส IS ใหม่ ผสานความสปอร์ตเข้ากับเทคโนโลยีล้ำหน้า รวมถึงความประณีตพิถีพิถันในทุกรายละเอียด โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ด้านหน้าแบบ Spindle Grille ที่มาพร้อมความปราดเปรียวลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์เลกซัส และสุดยอดเทคโนโลยีอันก้าวล้ำจากเลกซัส ตอบสนองทุกความต้องการของทุกการเดินทาง กับสุดยอดแห่งพลังการขับเคลื่อนในระบบไฮบริดกับ IS300h พร้อมกับทางเลือกแห่งประสบการณ์สปอร์ตกับ IS250 F-Sport



IS 300h
ที่สุดแห่งขุมพลังการขับเคลื่อน
เครื่องยนต์ 2.5L Hybrid System DOHC 16V VVT-i (2AR-FSE)
ประหยัดพลังงานไปพร้อมกับการขับขี่ที่เหนือชั้น ด้วยระบบไฮบริด เครื่องยนต์ 4 สูบขนาด 2.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้าที่ 6000 รอบต่อนาที จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ D-4S EFI ประสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงให้กำลังรวมทั้งระบบ 223  แรงม้า

ระบบการขับเคลื่อน
ชุดเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ขับสนุกยิ่งขึ้นด้วยระบบเกียร์อัจฉริยะ S-Mode พร้อมตอบสนองการขับขี่ในรูปแบบของคุณ ได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ Normal สำหรับการขับขี่แบบปกติ Eco สำหรับความประหยัดสูงสุดแห่งการขับเคลื่อน  และ Sport สำหรับการขับประสบการณ์แห่งความสปอร์ตเร้าใจ

สัมผัสมิติใหม่แห่งสปอร์ตซีดาน เหนือระดับ
Daytime Running Light ไฟขับขี่ในเวลากลางวันเพื่อเพิ่มความปลอดภัย พร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยวบ่งบอกตัวตนแห่งความสปอร์ตอย่างแท้จริง

Spindle Grille สง่าสงามดึงดูดทุกสายตาด้วยกระจังหน้าดีไซน์โดดเด่นแบบ 3 มิติ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเลกซัส

ไฟท้ายแบบ LED เพื่อให้รถที่วิ่งตามมาสังเกตเห็นได้ชัดเจนเมื่อมีการเบรกกระทันหัน พร้อมดีไซน์แบบ L-Shape รับกับเส้นสายที่โค้งเว้าของตัวรถอย่างลงตัว

ตอบรับความสะดวกสบาย ยากที่ใครจะเสมอเหมือน
พื้นที่วางขาที่กว้างขึ้น รื่นรมย์ในทุกการเดินทาง สัมผัสความสบายที่มากกว่าไปกับห้องโดยสารที่มีขนาดกว้างขึ้น

Multi Information Display จอแสดงผลการทำงานขนาด 4.2 นิ้ว ที่เชื่อมต่อการทำงานกับโทรศัพท์มือถือและรายการเพลงที่ฟัง พร้อมสวิทช์ควมคุมจากพวงมาลัย

หน้าจอ EMV ขนาด 7 นิ้วพร้อมระบบควบคุมมัลติฟังก์ชัน สะดวกล้ำกับเทคโนโลยี สั่งการที่ง่าย แม่นยำ และรวดเร็ว โดยการคลิกเมาส์เพียงปลายนิ้วสัมผัส

มั่นใจทุกเส้นทางกับการขับขี่ที่มาพร้อมความปลอดภัยสูงสุด
VDIM (Vehicle Dynamics Integrated Management)
เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยคือสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย IS เล็งเห็นถึงความสำคัญของความปลอดภัยที่จะพาคุณไปสู่ทุกจุดหมาย ด้วยระบบจัดการรวมไดนามิคของตัวรถ VDIM (Vehicle Dynamics Integrated Management) จะทำหน้าที่ประสานการทำงานของระบบความปลอดภัยต่างๆของตัวรถ เพื่อให้ผู้ขับและผู้โดยสารมั่นใจได้ในความปลอดภัยสูงสุด

TRC (Traction Control)
ระบบปัองกันการลื่นไถลช่วยเพิ่มความสามารถในการยึดเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม ในสภาพถนนที่ลื่นหรือพื้นผิวขรุขระ

VSC (Vehicle Stability Control)
ระบบควบคุมการทรงตัวของรถจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รถสูญเสียการทรงตัว ในการหักเลี้ยวอย่างรวดเร็ว หรือเกิดการลื่นไถล

ABS (Anti-lock Brake System)
ระบบป้องกันล้อล็อค ทำงานประสานกับระบบกระจายแรงเบรกให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างแม่นยำ แม้ในการเบรกกระทันหัน

EBD (Electronic Brake force Distribution)
ระบบกระจายแรงเบรกจะทำงานประสานกับระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อค (ABS) เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีการกระจายแรงเบรกไปยังล้อทั้งหมดอย่างสมดุลเหมาะสม

SRS Airbags (Supplemental Restraint System Airbags)
เสริมสมรรถนะความปลอดภัยด้วยระบบถุงลมเสริมความปลอดภัยที่ทำหน้าที่ปกป้องคุณในกรณีที่เกิดการชน ที่มาพร้อมถุงลมเสริมความปลอดภัย สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า บริเวณหัวเข่า บริเวณด้านข้าง และม่านถุงลมเสริมความปลอดภัย 5 ใบ ช่วยลดอาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ



IS 250 F-Sport*
รุ่น F-Sport คือที่สุดแห่งดีไซน์จากเลกซัส IS ที่มาพร้อมกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Spindle Grille ที่ดุดันและโดดเด่นเหนือใคร  พร้อมกับชุดแต่ง F-Sport รอบคันเพิ่มความรู้สึกในการขับขี่ให้ปราดเปรียวยิ่งขึ้น และตอกย้ำความหรูล้ำกับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ให้ความสปอร์ตเป็นหนึ่งเดียวกับคุณ ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารจะสัมผัสได้ถึงความสมบูรณ์แบบ ด้วยเบาะนั่งดีไซน์สปอร์ตที่ตัดเย็บอย่างประณีต ทุกรายละเอียดถูกออกมาแบบเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายและการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมที่จะพาคุณสู่ประสบการณ์แห่งความสปอร์ตเหนือระดับ

2.5L V6 DOHC 24V VVT-i (4GR-FSE)
ชุดเกียร์อัตโนมัติ  6 สปีดพร้อมระบบเกียร์อัจฉริยะ M-Mode ทะยานล้ำเต็มสมรรถนะแห่งความสปอร์ตที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 DOHC VVT-i ขนาด 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 207 แรงม้าที่ 6400 รอบต่อนาที พร้อมปลุกเร้าทุกโสตประสาทไปกับ Engine Sound Creator เพื่อการขับขี่ที่เร้าใจในแบบที่คุณไม่เคยสัมผัส

ระบบการขับเคลื่อน
ตอบรับทุกสภาวะการขับขี่ ที่เลือกปรับได้ 4 โหมด ได้แก่ โหมด Normal สำหรับการขับขี่แบบปกติ  โหมด Eco สำหรับความประหยัดสูงสุด โหมด Sport สำหรับการขับประสบการณ์แห่งความสปอร์ต เร้าใจ และโหมด Sport S+ ที่จะผสานการทำงานกับระบบกันสะเทือนแบบแปรผัน (AVS – Adaptive Variable Suspension) เพื่อคงสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีเยี่ยมและการตอบสนองต่อพวงมาลัยที่แม่นยำ


มาตรวัดความเร็ว TFT LCD ขนาด 8 นิ้ว
ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากมาตรวัด LFA พร้อมตอบสนองทุกการขับขี่อย่างเหนือชั้น



เลือกจับจองเป็นเจ้าของยนตรกรรมสปอร์ตซีดานหรูด้วย  10 สีภายนอก
•    White Pearl Crystal Shine**
•    White Nova Glass Flake***
•    Mercury Grey Mica
•    Platinum Silver Metallic
•    Sonic Titanium
•    Black
•    Starlight Black Glass Flake
•    Red Mica Crystal Shine
•    Exceed Blue Metallic***
•    Lapis Lazuli Mica**

3 สีภายใน
•    Black
•    Topaz Brown**
•    Dark Rose***

3 รุ่นให้คุณครอบครอง
•    IS250     (F-Sport)
•    IS300h (Premium package)
•    IS300h (Luxury package)

รถยนต์เลกซัสทุกคันที่ซื้อกับผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะได้รับการรับประกัน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมอุ่นใจกับความพร้อมในการให้บริการลูกค้าเลกซัสต่างจังหวัด สำหรับ ศูนย์บริการรถยนต์เลกซัสอย่างเป็นทางการ Lexus Exclusive Service Corner  ณ โชว์รูมโตโยต้าจังหวัดเชียงใหม่ ,ขอนแก่น, อุบลราชธานี, สุราษฎร์ธานี และ ภูเก็ต

พร้อมนำเสนอประสบการณ์เร้าใจ สำหรับผู้ครอบครอง “เลกซัส IS ใหม่” ที่ผู้แทนจำหน่าย เลกซัส อย่างเป็นทางการทั้ง 3 แห่งเท่านั้น
- เลกซัส กรุงเทพ (พระราม 9)    โทร. 0 2716 8999
- เลกซัส สุขุมวิท (ซอย 18)    โทร. 0 2260 8123
- เลกซัส รามอินทรา (กม. 2)        โทร. 0 2521 1111

เชิญสัมผัสตัวจริงของสุดยอดสปอร์ตซีดาน เลกซัส IS 300h ในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 34 ได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายน 2556 ที่ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี


วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

เปิดตัว NITTO 3K ISUZU ONE MAKE RACE 2013 กว่า 30 คัน เข้าร่วมประลองความเร็ว




อีซูซุจับมือฟาร์อีส ยูไนเต็ด มอเตอร์สปอร์ต ยางรถยนต์ NITTO และแบตเตอรี่ 3K   สนับสนุนการแข่งขัน “NITTO 3K BIG THAILAND RACING CAR 2013” สร้างไฮไลต์สั่นสะเทือนวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทยกับการเปิดตัวรถแข่งรุ่น “NITTO 3K ISUZU ONE MAKE RACE 2013” ที่มีจำนวนรถเข้าแข่งขันมากที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่ง ONE MAKE RACE ของประเทศไทยถึง 30 คัน  ร่วมแข่งขันกัน 6 สนามแบบออนทัวร์ไปยังหัวเมืองต่างๆ เต็มรูปแบบ โดยมีนักแข่งมือใหม่อย่าง “ปั้นจั่น-ปรมะ อิ่มอโนทัย” นักร้อง-นักแสดงหนุ่มมากความสามารถ และ “โดม-ราชนันทร์ คุณาริยานุกูล” ศิลปินวงแบล็ควนิลา เข้าร่วมการแข่งขันนี้อีกด้วย



มร.ฮิโรชิ  นาคางาวะ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท  ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด  เผยว่า “การเพิ่มขึ้นของจำนวนรถแข่งในรายการ “NITTO 3K ISUZU ONE MAKE RACE 2013” มากถึง 30 คัน ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ “NITTO 3K BIG THAILAND RACING CAR 2013” ที่สะเทือนวงการมอเตอร์สปอร์ต เนื่องจากมีจำนวนรถเข้าร่วมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขันแบบ ONE MAKE RACE ในประเทศไทย ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของเหล่านักแข่งที่มีต่อรถปิกอัพ “ออล-นิว อีซูซุดีแมคซ์”  ซึ่งเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะการขับขี่ เป็นที่ยอมรับในสนามแข่ง รวมถึงความยอดเยี่ยม ทนทานของเครื่องยนต์และตัวรถ ที่พร้อมลุยถึง 6 สนามแบบออนทัวร์ เนื่องจากรถแข่งในรุ่นนี้ทั้งหมดใช้รถปิกอัพ “ออล-นิว อีซูซุดีแมคซ์ สเปซแคบ” เครื่องยนต์ 2500 ดีดีไอ ซูเปอร์คอมมอนเรล ภายใต้มาตรฐานเดียวกันคือไม่ได้ปรับแต่งเครื่องยนต์หรือระบบส่งกำลังแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมอบชุดแต่งมอเตอร์สปอร์ตรวมทั้งรายการอะไหล่พิเศษ รวมมูลค่าชุดแต่งกว่า 330,000 บาท สำหรับผู้เข้าแข่งขันทั้ง 30 ท่าน ในปีนี้ยังมีนักแข่งหน้าใหม่มาร่วมสร้างสีสันเพิ่มเติมจากปีที่ผ่านมา  อาทิ “ปั้นจั่น-ปรมะ อิ่มอโนทัย” นักร้องและนักแสดงหนุ่มมากความสามารถ รวมถึงมือเบสหนุ่มวงแบล็ควานิลลา “โดม-ราชนันทร์ คุณาริยานุกูล” ที่ติดใจเข้าแข่งต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งอีซูซุเชื่อมั่นว่ารถแข่งในรายการ “NITTO 3K ISUZU ONE MAKE RACE 2013” ทั้ง 30 คันนี้จะมอบประสบการณ์การแข่งขันที่ดีเยี่ยมให้กับนักแข่งทุกท่านอย่างแน่นอน”



รถแข่ง

 “NITTO 3K ISUZU ONE MAKE RACE 2013”  จะลงสนามแข่งขันทั้งหมด 6 สนามแบบออนทัวร์ไปยังหัวเมืองต่างๆ อย่างเต็มรูปแบบ  เริ่มประเดิมสนามแรกในวันที่   8-10  มี.ค. ศกนี้  ณ สนามโบนันซ่า สปีดเวย์ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา จัดต่อเนื่องแบบเดือนเว้นเดือนเพื่อเก็บคะแนนในแต่ละสนาม  จนถึงสนามสุดท้ายรอบชิงชนะเลิศช่วงปลายปี 2556 เพื่อชิงถ้วยประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ รางวัลรวม 100,000 บาท



กำหนดการแข่งขันในแต่ละสนามของปี 2556
สนามที่  1   วันที่  8-10  มีนาคม          ณ สนามโบนันซ่า สปีดเวย์ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา
สนามที่  2   วันที่  3-5  พฤษภาคม       ณ  สนามพีระอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต พัทยา จ. ชลบุรี
สนามที่  3   วันที่  5-7  กรกฎาคม        ณ  สนามแก่งกระจานเซอร์กิต จ. เพชรบุรี
สนามที่  4   วันที่  6-8  กันยายน          ณ  สนามพีระอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต พัทยา จ. ชลบุรี
สนามที่  5   วันที่  1-3  พฤศจิกายน     ณ  สนามโบนันซ่า  สปีดเวย์ เขาใหญ่ จ. นครราชสีมา
สนามที่  6   วันที่  6-8  ธันวาคม          ณ  สนามพีระอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต พัทยา จ. ชลบุรี

ขอเชิญทุกท่านร่วมพิสูจน์ความมันและความแรงแบบสะใจในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบของรถปิกอัพ “ออล-นิว อีซูซุดีแมคซ์” ในรายการ “NITTO 3K ISUZU ONE MAKE RACE 2013” ของแต่ละสนามอย่างใกล้ชิดได้ตลอดปี หรือติดตามการแข่งขันได้ที่ www.allnewisuzud-max.com และ facebook.com/allnewisuzudmax

YOKOHAMA เปิดตัว BluEarth AE01 นุ่มเงียบ สมรรถนะเยี่ยม เกาะถนนหนึบ

YOKOHAMA รุกตลาดเก๋งเล็ก เปิดตัวยางรุ่นใหม่ BluEarth AE01 (บลูเอิร์ธ เออี 01) ชูจุดเด่นรักษ์สิ่งแวดล้อม ให้สมรรถนะดีเยี่ยม เกาะถนนหนึบอย่างมั่นใจ นุ่มนวลและเงียบ ช่วยประหยัดน้ำมันและตอบสนองทุกภาวะการขับขี่ รองรับกลุ่มรถยอดนิยมทั้งอีโคคาร์, ซิตี้คาร์ และซับคอมแพ็คคาร์หลายรุ่น ตั้งเป้าขาย 50,000 เส้นภายในสิ้นปี 2556 พร้อมแนะค่ายผู้ผลิตใช้กลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อรับมือยางคุณภาพต่ำราคาถูกจากจีนที่เข้ามาตีตลาด ส่งผลให้เกิดการแข่งขันอย่างดุเดือด



เนื้อยางสูตรใหม่นี้ ช่วยลดการเกิดความร้อนจากตัวยาง ผสานคุณสมบัติลดการสูญเสียพลังงาน ทำให้ค่าความต้านทานการหมุนลดลง ช่วยลดการสึกแบบไม่เรียบทั้งด้านในและด้านนอกของยาง ขณะที่ซิลิก้าที่กระจายตัวอยู่ในเนื้อยาง จะช่วยควบคุมความร้อนส่วนเกินและเพิ่มแรงยึดเกาะบนผิวถนนเปียก และด้วยเทคโนโลยีของการผลิต ทั้งในส่วนของลายดอกยาง ที่ผสานกับนวัตกรรมอันล้ำสมัยของ YOKOHAMA ส่งผลให้เพิ่มความนุ่มนวลขณะขับขี่ ด้วยการใช้หลักการกระจายความถี่ของเสียง เพื่อช่วยลดเสียงจากยางและพื้นถนนขณะขับขี่ ลดเสียงรบกวนด้วยดอกยาง ขนาด ระดับความดังของเสียงลดลงจากการกระจายคลื่นความถี่ของเสียง

ยางรถยนต์

“BluEarth AE01 (บลูเอิร์ธ เออี 01) มีให้เลือกตั้งแต่ขอบ 13 ถึงขอบ 16 นิ้ว รวม 25 ขนาด มีราคาจำหน่าย 1,700-3,400 บาท ตอบสนองความต้องการของตลาดเมืองไทยและในภูมิภาคอาเซียนอย่างครบถ้วน ครอบคลุมรถยนต์อีโคคาร์ ซิตี้คาร์ และซับคอมแพ็คคาร์ เป็นยางที่นำมาทดแทนรุ่น A. drive ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ยางในกลุ่มรักษ์สิ่งแวดล้อมรุ่นที่ 2 ของบริษัทในตลาดเมืองไทย แต่มีคุณสมบัติยึดเกาะถนนเพิ่มขึ้น 20% สามารถสะท้อน DNA ยางที่เปี่ยมสมรรถนะของ YOKOHAMA อีกรุ่นหนึ่ง ถูกเปิดตัวครั้งแรกที่ยุโรป ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้ในหลายประเทศ  โดยสถาบันทดสอบยางรถยนต์ชั้นนำของเยอรมนี (TUV) ได้ทดสอบประสิทธิภาพยาง BluEarth AE01 (บลูเอิร์ธ เออี 01) และออกเอกสารรับรองว่า มีประสิทธิภาพเหนือกว่ายางแบรนด์ดังๆ ระดับโลกที่คนไทยรู้จักทุกยี่ห้อ”
การเปิดตัวแนะนำยาง BluEarth AE01 (บลูเอิร์ธ เออี 01) ครั้งนี้ มร.ยูทากะ ฟูรูกาวา กล่าวย้ำว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ YOKOHAMA หันมาทำตลาดยางรถยนต์นั่งขนาดเล็ ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ของเมืองไทยอย่างจริงจัง โดยจะใช้กลยุทธ์สื่อสารทางการตลาดเพื่อให้กลุ่มลูกค้ารับรู้ถึงประสิทธิภาพและสมรรถนะรวม จุดเด่นในด้านต่างๆของยาง BluEarth AE01 (บลูเอิร์ธ เออี 01) ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งทีวี, วิทยุ, สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ รวมถึงโซเชียลมีเดีย พร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายนี้ เป็นต้นไป ณ ร้านค้าผู้แทนจำหน่ายยางรถยนต์ YOKOHAMA กว่า 260 แห่ง และศูนย์บริการยางมาตรฐาน YCN หรือ (YOKOHAMA Club Network) ทั่วประเทศไทย



“ตั้งเป้ายอดขายยางรุ่นนี้ไว้ที่ 50,000 เส้นภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยอดขายที่บริษัทตั้งเป้าไว้ 350,000 เส้นในปีนี้ เนื่องจากยาง A.drive ที่เคยทำตลาดมาก่อนหน้า ไม่เคยเน้นการโปรโมตเท่ากับ BluEarth AE01 (บลูเอิร์ธ เออี 01) สามารถประสบความสำเร็จทางยอดขาย อีกทั้ง BluEarth AE01 (บลูเอิร์ธ เออี 01) เป็นยางรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงกว่าในทุกๆ ด้าน ช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น เสียงรบกวนน้อย โครงสร้างยางมีน้ำหนักเบา ช่วยให้การขับขี่โดยรวมดีขึ้น ยึดเกาะถนน มั่นใจในทุกสภาวะของถนน โดยส่วนตัวมั่นใจว่าจะทำยอดขายได้มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงจัดแคมเปญมอบให้แก่ผู้ใช้ในช่วงเปิดตัวแนะนำ เมื่อเปลี่ยนยาง BluEarth AE01 (บลูเอิร์ธ เออี 01) 4 เส้น รับฟรีกระเป๋าสะพายพรีเมียมที่จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะ”

ส่วนสถานการณ์ตลาดยางรถยนต์เมืองไทยที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง เนื่องจากยางรถยนต์คุณภาพต่ำราคาถูกจากประเทศจีนที่เข้ามาแข่งขันในตลาดนั้น มร.ยูทากะ ฟูรูกาวา กล่าวว่า จะไม่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ YOKOHAMA เนื่องจากอยู่คนละเซกเมนท์ แต่จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาพรวมตลาดยางรถยนต์เมืองไทยอย่างแน่นอน


วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

มาสด้า จัดกิจกรรม ฮาสนุกลุ้นรับมาสด้า2 ลิมิเต็ด เอดิชั่น กับ พี่มาก…พระโขนง


บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทุ่มทุนอีกครั้งกับผู้กำกับคนเดิม โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล จากค่าย GTH ผู้กำกับร้อยล้านที่กำลังจะส่ง “พี่มาก…พระโขนง”  เข้าฉายในวันที่ 28 มีนาคมนี้

นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวว่า มาสด้าเน้นการตลาดที่เจาะเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยดำเนินกิจกรรมทางการตลาดที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละกลุ่ม ที่สำคัญคือ การวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ในแต่ละโปรดักซ์นั้นมีความแตกต่างกันออกไป อาทิรถปิกอัพฮีโร่ มาสด้า บีที-50 โปร ก็จะเน้นการสื่อสารเพื่อตอกย้ำตำแหน่งทางการตลาดในแนวซูเปอร์ ฮีโร่ อย่างเรื่อง การสนับสนุนภาพยนตร์เรื่อง The Avengers ขวัญใจเด็กๆ และครอบครัว ส่วนการสนับสนุนภาพยนตร์ หรือการทำโปรโมชั่นร่วมสำหรับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างเจรจาในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งคาดว่าจะเป็นภาพยนตร์จากต่างประเทศเช่นเดียวกัน  ส่วนมาสด้า3 ภาพยนตร์ที่จะสนับสนุนก็จะออกไปแนวทางที่สะท้อนบุคลิกของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนวัยทำงาน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วจากภาพยนตร์ เรื่อง หรือ30+ โสด on Sales ส่วนมาสด้า2 ซึ่งเป็นรถขวัญใจวัยรุ่น นักศึกษา กลุ่มคนทำงานตอนต้น ก็จะมองหาภาพยนตร์ที่เข้ากับกลุ่มนี้ ซึ่งคราวนี้ เราได้จับมือกับทาง GTH และโรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟ สนับสนุนภาพยนตร์เรื่อง พี่มาก…พระโขนง โดยผู้ชมภาพยนตร์ทุก 2 ที่นั่ง ที่โรงภาพยนตร์เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า, เอส เอฟ เอ็กซ์ ซีเนม่า และเอสเอฟซีเนม่า ซิตี้ ทุกสาขาทั่วประเทศ วันที่ 28 มี.ค. – 16 เม.ย. ได้ลุ้นเป็นเจ้าของสปอร์ตพรีเมียมใหม่ มาสด้า2 ลิมิเต็ด เอดิชั่น รุ่นสปอร์ต ที่โดดเด่นด้วยไฟหน้า LED หนึ่งเดียวในคลาส จำนวน 1 คัน มูลค่า 691,000 บาท



พี่มาก…พระโขนง

ซึ่งหลายๆ คนที่เคยชมเรื่องนี้มาแล้วจากหลายๆ เวอร์ชั่นอาจจะมองว่ามาสด้า2 เข้าไปเกี่ยวข้องได้อย่างไร ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องดังกล่าวเป็นการหยิบยกตำนานแม่นาคขึ้นมาทำใหม่  โดยมีการตีความในมุมมองของผู้กำกับที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นอื่นๆ ในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะพี่มากในเวอร์ชั่นนี้จะแตกต่างไปจากแนวเดิมๆ จะกลายเป็นหนังวัยรุ่น ที่ผสมผสานทั้งความฮามาก และความรักมากไว้ด้วยกันซึ่งก็ได้ดารานำอย่าง มาริโอ้ เมาเร่อ รับบทเป็น พี่มากที่รักเมียมาก และใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ รวมถึงแก๊งเพื่อนพี่มาก 4 คน เผือก (พงศธร จงวิลาส), เต๋อ (ฟรอยด์-ณัฏฐพงษ์ ชาติพงศ์), ชิน (เชน-อัฒรุต คงราศรี), เอ (บอมบ์-กันตพัฒน์ เพิ่มพูนพัชรสุข) ที่จะมาเรียกเสียงฮากระจาย ถึงแม้ว่าจะมีมุขตลกผสมอยู่ แต่ในส่วนของความรักเรื่องนี้ก็โรแมนติคสุดๆ ถือเป็นงานที่ทีมงานทุกคนจัดเต็มมาก สุรีทิพย์ กล่าวเพิ่มเติม


มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ฉลองความสำเร็จ ส่งออกรถยนต์ฝีมือคนไทย ครบ 2 ล้านคัน

มร. โอซามุ มาสุโกะ ประธานบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีในโอกาสฉลองการส่งออกรถยนต์ที่ผลิตโดยมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ทุกรุ่นครบ 2 ล้านคัน ได้กล่าวแสดงความชื่นชมว่า “นับตั้งแต่ปี 2531 ที่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทย และเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรก ที่มุ่งมั่นพัฒนาการผลิต ไปถึงขั้นการส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศได้ด้วยการผลิตฝีมือของคนไทย เราได้เปิดหน้าแรกของประวัติศาสตร์การส่งออกรถยนต์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2531 โดยการส่งรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ แชมป์ จำนวน 420 คัน ไปจำหน่ายยังประเทศแคนาดา นับเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของไทยที่ส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศ และล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้บันทึกความสำเร็จอีกครั้ง ด้วยการส่งออกรถยนต์มิตซูบิชิทุกรุ่นที่ผลิตโดยฝีมือคนไทย ครบจำนวน 2 ล้านคัน สะท้อนการเป็นฐานการผลิตที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานของโลก ซึ่งทำให้มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ตัดสินใจที่จะเสริมความแข็งแกร่งของหน่วยงานวิจัยและพัฒนาในประเทศไทย ภายใต้ภารกิจหลัก 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก มุ่งพัฒนาคุณภาพของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทย ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างรวดเร็ว ประการที่สอง เพิ่มบทบาทในการพัฒนารุ่นไมเนอร์ เชนจ์ สำหรับตลาดเมืองไทย ด้วยการยกระดับการสรรหาชิ้นส่วน ประการที่สาม เพื่อค้นคว้าข้อมูลแนวโน้มการตลาดและเทคโนโลยี ในตลาดกลุ่มอาเซียน ซึ่งแนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งครั้งนี้ จะนำมาซึ่งการถ่ายโอนงานด้านวิจัยและพัฒนาบางส่วน จากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น มายังมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย โดยมีแผนงานจะเพิ่มจำนวนวิศวกรทั้งไทยและญี่ปุ่นในสังกัดฝ่าย R&D จากปัจจุบัน 40 คนให้เป็น 120 คนในอนาคต และรวมถึงการเพิ่มเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ และสนามทดสอบรถยนต์ด้วย”



มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย

ได้บรรลุยอดการส่งออกรถยนต์ที่ผลิตจากประเทศไทยไปยังตลาดทั่วโลก ครบ 2 ล้านคัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยในจำนวนนี้ มีทั้งรถยนต์ประกอบสำเร็จรูป (CBU) แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง (แลนเซอร์ และ มิราจ) 95,726 คัน รถกระบะ  (สตราดา แอล 200 และไทรทัน) 1,436,146 คัน และรถพีพีวี (ปาเจโร สปอร์ต) 181,464 คัน และชิ้นส่วนสำเร็จรูป (CKD) ประมาณ 300,000 คัน ปัจจุบันตลาดส่งออกหลักของรถยนต์สำเร็จรูป ได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา ออสเตรเลีย ขณะที่ตลาดส่งออกชิ้นส่วนสำเร็จรูป ได้แก่ แถบอเมริกาใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถกระบะ

ก่อนหน้านี้ ในปี 2555 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ได้ลงทุน 16,000 ล้านบาท เปิดโรงงานผลิตรถยนต์แห่งที่ 3 ในประเทศไทย เพื่อผลิตรถยนต์ขนาดเล็กตามโครงการโกลบอล สมอล์ ซึ่งตรงกับแนวทางการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานขนาดเล็กของรัฐบาลไทย โดยเริ่มต้นที่การผลิตรถมิตซูบิชิ มิราจ ด้วยกำลังการผลิตเบื้องต้น 150,000 คันต่อปี และเตรียมจะขยายการผลิตเพิ่มเป็น 200,000 คัน ภายในปีงบประมาณ 2556 นี้ โดยมีแผนงานจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์ขนาดเล็กส่งไปจำหน่ายทั่วโลก สำหรับนโยบายการสร้างความแข็งแกร่งให้หน่วยวิจัยและพัฒนาในประเทศไทย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นระดับสูง ที่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีต่อมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และทีมงานวิศวกรชาวไทย นับเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนาแห่งแรกของมิตซูบิชิ ในทวีปเอเชีย


วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

เตรียมพบกับ มิตซูบิชิ Concept G4 ในงาน Motor Show ครั้งที่ 34


มร.โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงการเข้าร่วมงาน Motor Show ครั้งที่ 34 ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 25 มีนาคม ถึง 7 เมษายนนี้ว่า ในปีนี้ มิตซูบิชินำรถยนต์เข้าร่วมจัดแสดงทั้งสิ้น 23 คัน โดยได้เตรียมนำรถต้นแบบอีโคคาร์ ซีดาน “มิตซูบิชิ Concept G4 (Global 4 –door sedan)” มาร่วมโชว์เป็นครั้งแรกของโลกในเมืองไทย พร้อม “มิตซูบิชิ คอนเซปต์ GR-HEV (Grand Runner. รถกระบะรุ่นใหม่ที่สามารถขับเคลื่อนผ่านภูมิประเทศที่กว้างใหญ่และหลากหลายด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย) รถต้นแบบของรถกระบะเจนเนอเรชั่นใหม่กับการวางเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้ารถและขับเคลื่อนล้อหลังแบบFront engine Rear wheel drive. ด้วยเทคโนโลยีดีเซล-ไฮบริด ซึ่งจะแสดงในงานเจนีวา มอเตอร์ส โชว์ ครั้งที่ 83 ในต้นเดือนมีนาคมนี้มาร่วมแสดงเป็นไฮไลท์ของงาน ร่วมกับยนตรกรรมรุ่นต่างๆ ทั้ง มิตซูบิชิ มิราจ รถยนต์อีโคคาร์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากตลาดเมืองไทยซึ่งจะมาพร้อมรุ่นตกแต่งพิเศษ รวมไปถึง“มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์” ที่มาพร้อมสมรรถนะและความอัจฉริยะในการขับขี่ รวมทั้ง “มิตซูบิชิ ไทรทัน” และ “ปาเจโร สปอร์ต” รุ่นปี 2013 ที่มาพร้อม สมรรถนะที่เป็นเยี่ยม จากเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด 2.5 วีจี เทอร์โบ ให้พละกำลังสูงสุดถึง 178 แรงม้า โดดเด่นทั้งด้านรูปลักษณ์และประโยชน์ใช้สอยซึ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น มาร่วมโชว์ในงาน



1. มิตซูบิชิ คอนเซปต์ G4 (Global 4 –door sedan)
มิตซูบิชิ คอนเซปต์ G4 เป็นรถยนต์ต้นแบบของรถเก๋งขนาดเล็กซึ่งมิตซูบิชิมีแผนจะผลิตและจำหน่ายไปทั่วโลก มิตซูบิชิ คอนเซปต์ G4 ได้รับการออกแบบโดยใช้แนวคิดของความสว่างสดใสของเพชรมาเป็นบรรทัดฐานสำหรับการออกแบบกระจังหน้า รวมไปถึงไฟหน้าและชุดไฟท้าย เพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับตัวรถจากหน้าจรดท้าย อีกทั้งยังมาพร้อมความโดดเด่นของรถยนต์นั่งขนาดเล็กเจนเนอเรชั่นใหม่จากองค์ประกอบดังนี้

การออกแบบส่วนหน้าให้สั้นลงช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่และง่ายต่อการควบคุม
สง่างามและได้สัดส่วนจากมุมมองด้านข้างซึ่งให้ความสมดุลย์ระหว่างพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางที่สุดในรถระดับเดียวกันกับการการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์
เส้นสายข้างตัวรถที่ปราดเปรียวจากด้านหน้าไปหลัง

มิตซูบิชิ คอนเซปต์ G4 ยังให้การประหยัดน้ำมันสูงสุดในรถระดับเดียวกันซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างตัวถังแบบ RISE body ตัวถังที่มีน้ำหนักเบาจากโครงสร้างเหล็กความแข็งแรงสูง High tensile steel การขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์น้ำหนักเบาขนาด 1.2 ลิตร MIVEC พร้อมระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ CVT นอกเหนือไปจากเทคโนโลยีการลดน้ำหนักของตัวรถ

มิตซูบิชิ คอนเซปต์ G4 สร้างความพึงพอใจในการขับขี่โดยให้ความคล่องตัวและความปราดเปรียวจากน้ำหนักของรถที่เบาลง แต่ยังคงให้ความมั่นใจในการควบคุมและความสะดวกสบายในการขับขี่ อีกทั้งยังให้ความสะดวกสบายกับผู้โดยสารด้วยประตูขนาดใหญ่ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้า-ออกรวมไปถึงพื้นที่นั่งด้านหลังที่กว้างขึ้น



2. มิตซูบิชิ คอนเซปต์ GR-HEV (MITSUBISHI Concept Grand Runner.
รถกระบะรุ่นใหม่ที่สามารถขับเคลื่อนผ่านภูมิประเทศที่กว้างใหญ่และหลากหลายด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย)

สำหรับ มิตซูบิชิ คอนเซปต์ GR-HEV เป็นรถต้นแบบของรถกระบะที่ให้ทั้งความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสมรรถนะในการขับขี่จากระบบดีเซล-ไฮบริดแบบ FR (ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา)ในรถกระบะซึ่งเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดเศรษฐกิจใหม่ จากเครื่องยนต์ดีเซลพลังงานสะอาดที่ให้การประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยมทำงานร่วมกับมอเตอร์และแบตเตอรี่ที่ให้กำลังสูง ทำให้รถยนต์ระบบไฮบริดพลังงานไฟฟ้า (HEV) ให้ค่าการปล่อยมลพิษต่ำกว่า 149 กรัมต่อกิโลเมตร และทำให้เป็นรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูงสุดในรถระดับเดียวกัน สำหรับรถต้นแบบ มิตซูบิชิ คอนเซปต์ GR-HEV ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งติดตั้งระบบ Super Select 4WD ที่มีอยู่ในรุ่นปาเจโร และระบบ Super All Wheel Control (S-AWC) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัวและให้สมรรถนะสำหรับการขับขี่ในทุกสภาพถนน



คอร์เวทท์ สติงเรย์ คอนเวอร์ทิเบิล เผยโฉมที่งาน เจนีวา มอเตอร์โชว์


เชฟโรเลต เผยโฉม คอร์เวทท์ สติงเรย์ คอนเวอร์ทิเบิล 2014 โฉมเปิดประทุนที่งาน เจนีวา มอเตอร์โชว์ มาพร้อมเครื่องยนต์ระดับ 450 แรงม้า แรงบิด 610 นิวตันเมตร ถือเป็นรถสปอร์ตคอร์เวทท์ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์

“เวอร์ชั่นเปิดประทุนคอนเวอร์ทิเบิลถือเป็นหัวใจและจิตวิญญาณของคอร์เวทท์ตั้งแต่รุ่นบุกเบิกเมื่อปี 1953” มร. เอ็ด เวลเบิร์น รองประธานฝ่ายการออกแบบจีเอ็ม โกลเบิล กล่าว “เราออกแบบและพัฒนาคอร์เวทท์ สติงเรย์ โฉมคูเป้และและเปิดประทุนคอนเวอร์ทิเบิลไปพร้อมกัน ผลลัทธ์ที่ได้คือรถคอร์เวทท์ สติงเรย์รุ่นเปิดประทุนที่มีสมรรถนะการขับขี่ เทคโนโลยี และการออกแบบอันเหนือชั้นไม่ต่างจากรุ่นคูเป้



คอร์เวทท์ สติงเรย์ คูเป้และคอนเวอร์ทิเบิล จะออกทำตลาดทั่วโลกในช่วงปลายปี 2556 นี้ โดยอุปกรณ์ตกแต่งของคอร์เวทท์สำหรับตลาดส่งออกอาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นระบบไฟ ที่ฉีดล้างกรอบไฟหน้า และกระจกมองข้างเพื่อให้เข้ากับกฎระเบียบของประเทศที่จัดจำหน่าย

“สติงเรย์ รุ่นใหม่ จะเปิดตัวที่มหกรรมแสดงเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลกอย่างเจนีวา มอเตอร์โชว์ ซึ่งเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงเนื่องจากคอร์เวทท์ เป็นเหมือนตัวแทนของเชฟโรเลต ที่คนทั้งโลกรู้จัก” ซูซาน โดเคอร์ตี้ ประธานกรรมการและผู้อำนวยการบริหารของเชฟโรเลต และคาดิลแลค ประจำภูมิภาคยุโรปกล่าว “คอร์เวทท์ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับมายาวนานและมีเสียงชื่นชมแม้แต่ในประเทศที่ไม่มีการจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ”

ทั้งสมรรถนะ เทคโนโลยี และประสิทธิภาพทุกด้านของคอร์เวทท์ สติงเรย์ เวอร์ชั่นคูเป้ถูกถ่ายทอดสู่รุ่นเปิดประทุนคอนเวอร์ทิเบิล มีเพียงโครงสร้างบางอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการพับเก็บหลังคาและปรับตำแหน่งเข็มขัดนิรภัยใหม่ สำหรับสมรรถนะการขับขี่อันโดดเด่นของคอร์เวทท์ สติงเรย์เกิดจากโครงสร้างอลูมิเนียมแบบใหม่ล่าสุดที่เหนียวแน่นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น 57 เปอร์เซ็นต์และเบากว่าเดิม 45 กก.เมื่อเทียบกับโครงสร้างเหล็กของรุ่นปัจจุบัน



คอร์เวทท์ สติงเรย์ ทุกรุ่นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V8 รหัส LT1 ความจุกระบอกสูบ 6.2 ลิตร ผลิตพละกำลังสูงสุดราว 450 แรงม้า เนื่องจากรุ่นเปิดประทุนไม่จำเป็นต้องเสริมความแข็งแกร่งด้านโครงสร้าง จึงมีอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักใกล้เคียงกับรุ่นคูเป้

ขุมพลัง LT1 ผสมผสานหลากหลายเทคโนโลยีอันก้าวล้ำ ทั้งหัวฉีดตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ ระบบการจัดการเชื้อเพลิง (Active Fuel Management) และระบบวาล์วแปรผันต่อเนื่อง ทำงานร่วมกันภายในระบบห้องเผาไหม้ที่ล้ำสมัย ออกแบบมาเพื่อความสมดุลระหว่างพละกำลังและความประหยัด โดยคาดว่า คอร์เวทท์ สติงเรย์ จะมีอัตราบริโภคน้ำมันประหยัดกว่าคอร์เวทท์ รุ่นปัจจุบัน

คอร์เวทท์ สติงเรย์ รุ่นเปิดประทุนใช้ระบบหลังคาเปิด-ปิดไฟฟ้าเต็มรูปแบบเทคโนโลยีล่าสุด ซึ่งสามารถสั่งงานด้วยการกดสวิทช์ที่พวงกุญแจ อีกทั้งยังสามารถเปิดหรือปิดหลังคาขณะตัวรถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม.



เมื่อปิดหลังคา คอร์เวทท์ สติงเรย์ ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ หลังคาผ้าใบหนาสามชั้นพร้อมบุด้วยวัสดุกันเสียงและติดตั้งกระจกบานหลัง ทำให้บรรยากาศในห้องโดยสารเงียบสงบและให้ความหรูหรา

แพ็คเกจสมรรถนะสูง Z51 Performance Package รองรับการขับขี่ในสนามแข่ง ไม่ว่าจะเป็นเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปอิเลกทรอนิก ระบบหล่อลื่นแบบอ่างแห้ง ระบบเบรกประสิทธิภาพสูง ระบบหล่อเย็นเกียร์และเฟืองท้าย รวมถึงชุดแต่งแอโรพาร์ทรอบคันเพื่อเพิ่มเสถียรภาพการขับขี่ในย่านความเร็วสูง


วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

สูตร Modify Car ผสม CAMEO กับ Mu กลายเป็น CAMUO


Modify Car การแต่งรถนั้น ไม่จำเป็นต้อง “ลงของแพงสุด” จริงอยู่ ของแพงมันก็ย่อมตื่นตาตื่นใจกว่าของถูก ดูแล้วดีมีกะตังค์ แต่มันจะไปยากอะไร ถ้ามีเงินก็ซื้อได้ตามใจอยากอยู่แล้ว แต่ถ้าใครสักคน ที่แต่งรถอย่างมีการวางแผน มีเหตุผล มีการเก็บเล็กผสมน้อย และสำคัญคือ “พัฒนาในด้านความคิด” มีแนวทางความชอบของตัวเอง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อของแพงๆ หรือแต่งเลียนแบบกันเป็นแฟชั่น แม้การแต่งแบบแนวคิดส่วนตัว อาจจะมีผิดบ้าง ถูกบ้าง ไม่เข้าท่าบ้าง โอเคบ้าง ก็เป็นการเรียนรู้กันไป ท้ายสุดเมื่อศึกษาดีแล้ว ก็กลายเป็นความสวยงาม เราอยากเห็นคนแต่งรถที่มีไอเดียดี สะอาดตา มีเอกลักษณ์ของตัวมันเอง อย่าง CAMUO คันนี้ เหตุใดถึงเป็น CAMUO มันก็มีที่มา คันนี้อาจจะไม่ได้แรง หรือซื้อของแพงขั้นเทพ แต่ดูดีๆ มันก็มีแนวทางดีๆ อยู่ เจ้าของรถก็นิยมลงมือทำเอง DIY กันเป็นส่วนมาก ประกอบกับได้แนวคิดจากรุ่นพี่ทั้งหลายที่คอยสนับสนุน อย่างนี้น่าสนใจนะครับ



แต่งแบบคุมงบ แต่ต้องลงตัว
เจ้า CAMEO คันนี้ เป็นมรดกตกทอดจากคุณพ่อ สู่นาย NAPTY ก็เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกได้มาไม่รู้จะแต่งยังไง คุณพ่อก็ไปเปลี่ยนล้อ 18 นิ้ว ยกสูงมานิดหน่อย พอได้มาก็อยากจะได้รถเตี้ย ตอนแรกก็คิดว่าจะเอาแนว VIP แต่โดนพี่ๆ ติงไว้ว่า มันเป็นแนวที่สวยงาม แต่ใช้งานในชีวิตประจำวันลำบาก เหมาะสำหรับคนที่มีรถใช้งานปกติ แล้วแต่งเล่นไปอีกคันนึงไว้ออกโชว์ ประกอบกับอยากได้ออกแนวซิ่ง เลยเริ่มค้นหาตัวเองว่าต้องการอะไรกันแน่


คันนี้นาย NAPTY ก็ได้ปรึกษาพี่ๆ โดยได้โจทย์มาว่า ทำอะไรให้มันลงตัว สวยงาม ต้องใช้งานบนถนนได้อย่างปกติ สำคัญคือ ไม่ใช้งบประมาณสูงเกินไป ไม่จำเป็นต้องเล่นของฮิตในท้องตลาด สำคัญกว่านั้น “แต่งแล้วพ่อไม่ด่า แม่ไม่ว่า เมียไม่ค้อน” เป็นอันใช้ได้ ดังนั้น เรื่องความแรงคงเอาไว้ก่อน เพราะอยากขับประหยัด (อยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว เก็บตังค์แต่งเมีย 555) ก็เอาเรื่องความสวยงามก่อนแล้วกัน แต่ก็คงจะไม่ไปแนว VIP อีกแล้ว เพราะดูแล้วทำเยอะ ทำไม่เยอะก็ดูไม่สุด เอาเป็นแนวทำตามใจอยากดีกว่า แต่ออกมาต้องดูเด่น



ตอนแรกอยากเป็น irmscher
เริ่มแรก ได้มีรุ่นพี่แนะนำไว้ว่า น่าจะแต่งเป็นในโทนของ irmscher (อัมสเชอร์) ยี่ห้อนี้คนทั่วไปอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าคนเล่นรถตระกูล OPEL จะรู้จักแน่นอน มันคือสำนักแต่งที่แต่ง OPEL และ ISUZU ที่อยู่ในเครือ GM ด้วยกัน ตัว irmscher version จะมีใน TROOPER หรือ BIGHORN (ตัวถังเดียวกัน ต่างแต่ชื่อ) เลยอยากจะทำแบบนั้นบ้าง แต่ด้วยที่ว่าสีรถมันไม่ตรงกัน ของ irmscher เป็นสีเทาอมน้ำตาล ถ้าจะเปลี่ยนสีมันก็ต้องทำทั้งคันซึ่งเปลืองงบเกินไป ไม่อยากเปลี่ยนสีรถก็เลยยังไม่ทำ ว่าจะสั่งทำสติกเกอร์คาดข้าง irmcsher มาติดในอนาคต


สูตรไม่ลับ CAMEO + Mu = CAMUO
หลังจากที่ตัดสินใจไม่เปลี่ยนสี ก็ได้สาดสีใหม่ ยังเป็นโทนสีเดิมแต่ทำให้สดขึ้นหน่อยนึง ให้มันเตะตา หน้าตาของเดิมมันธรรมดาเกินไป ก็ไปจัดการหาหน้าของ Mu WIZARD ตัวนอกมาใช้ เป็นไฟตาโบ๋ แรกๆ ก็ดูไม่สวย แต่ดูไปดูมามันก็โหดดีจริงๆ ไฟหน้ายกโคมของ RAYBRIG อันนี้ NAPTY ลงทุนซื้อของดี เพราะวิ่งอยู่ในต่างจังหวัด เน้นไฟสว่างไว้จะได้ปลอดภัย สปอยเลอร์หน้าเอาของแต่ง Mu WIZARD มาใส่ ทำให้รถดูเตี้ยและสปอร์ตขึ้นเยอะ ปัดแมลงตรงฝากระโปรง จาก ISUZU TFR สเป็กอเมริกา (ของพวกนี้ก็หากันเองในกลุ่ม ได้มาราคาก็ไม่สูงเกินไปด้วย ดีๆ สามัคคีกัน)



ย้ายมาดูด้านท้ายกันบ้าง สปอยเลอร์หลังนั้น ที่มาที่ไปมันแสนจะทุลักทุเล และบังเอิญจริงๆ ไม่งั้นก็ไม่ได้มาหรอก จากการที่ไปซิ่งแถวๆ พัทยา ไปดูอะไหล่ก็เห็นสปอยเลอร์อันนี้กองอยู่ในป่า อารามอยากได้ไม่กลัวโดนงูฉก ก็เลยปีนเข้าไปดู กลายเป็นไฟเบอร์ของดี เนื้อเนียน ทรงสวย ก็เลยไปสอยมาแบบถูกๆ จ่ายไป 4 ใบแดง เป็นของรถกระบะอะไรก็ไม่รู้ แต่รู้ว่ามันใส่แล้วสวย ไฟท้ายก็เปลี่ยนเป็นของ DEPO สีขาวแดง ไม่ได้แพงอะไรแต่ก็สวย เสริมแต่งด้วยการติดฟิล์มเทาควันบุหรี่ ทำให้ดูเข้มขึ้นเป็นกอง ไฟเบรกที่กระจกหลังเป็นของ LUCAS ยี่ห้อดีแต่คนไม่รู้จัก เลยไปซื้อมาราคาถูกและเป็นของใหม่แกะกล่อง ใส่แล้วก็ดูดีได้เหมือนกัน


ล้อ Euroline FS 18 นิ้ว เพิ่มความสวยได้โข
จากเดิมเป็นล้อ 18 นิ้ว แต่น้ำหนักมาก เป็นล้อชิ้นเดียวจำยี่ห้อไม่ได้ ก็เลยอยากเปลี่ยนให้รถดูสดใสมากขึ้น โดยคงคอนเซ็ปต์ “ล้อบักเอ้ก” ยังไงก็ต้อง 18 กว้างๆ ก็เลือกล้ออยู่นานทั้งพี่ทั้งเพื่อนช่วยกัน จนมาถูกใจเอาล้อ W WORK Euroline FS บางคนก็ว่าล้อมันลายเก่าแล้ว ตกรุ่น แต่จะแคร์ทำไม ก็มันสวยถูกใจอ่ะ !!! แถมใส่กับรถแล้วดูดี จะไปแคร์อะไรกับคำพูดว่าล้อรุ่นเก่า เรามีแนวของเราซะอย่าง ก็เลยจัดมา 1 ชุด เบ็ดเสร็จยิ้มแป้นกลับบ้าน ล้อชุดนี้ ตามสูตร หน้า 8 หลัง 9 ขอบ 18 ออฟเซ็ต +38 พอใส่อแดปเตอร์แปลงรูแล้วล้อจะออกมาพอดีแนวตัวถังแบบไม่น่าเชื่อ ยางเป็นของ DUNLOP DIREZZA 245/45R18 เกาะถนนดี ปลอดภัยเวลาเดินทางไกล



ช่วงล่างขอเน้น โช้คไทย ทอร์ชั่นอเมริกา
นาย NAPTY รักตัวกลัวตาย (เร็ว) ประกอบกับมีความคิดที่อยากจะทำให้รถมันขับได้ดี มั่นใจกว่าสแตนดาร์ด จึงได้ลงทุนเน้นช่วงล่างกัน อันดับแรก เปลี่ยนโช้คของ AZTEK FORCE ของไทย ปรับได้ 9 ระดับ ทอร์ชั่นบาร์ด้านหน้า ทำหน้าที่เหมือนสปริงที่เราเห็นกัน ได้เปลี่ยนเป็นของ POWER BARZ By SWAY AWAY ของแต่งจากอเมริกาเชียวนะ ด้านหลังได้เปลี่ยนแหนบชุดใหม่ เพราะของเก่ามันล้าแล้ว เลยทำให้รถไม่ย้วย


เบรก ARISTO จานเซาะร่องแบบ DIY !!!
พอใส่ล้อ 18 แล้วก็เบรกเดิมไม่ได้ เลยต้องหา “เบรกควาย” ใหญ่ๆ มาใส่ให้กระสันของแน๊ปตี้ ตอนแรกก็เอาเบรก SKYLINE มาลองเทียบดูแล้วต้องแปลงจานเยอะ เพราะว่าดุมหมวกจานเบรกของ SKYLINE มันเล็กกว่าดุมของ ISUZU เยอะ ก็เลยไปเทียบของ ARISTO ที่ดุมหมวกจานเบรกใหญ่กว่า กลึงออกประมาณ 2 มิล ก็ใส่เข้ากับดุมเดิมได้ และกลึงรูดุมกลางออกให้สวมกับดุมเดิม ISUZU ได้เป็นอันจบ ขายึดคาลิเปอร์ทำใหม่ แต่ไม่พอเท่านั้น ยังได้ทำการเซาะร่องและเจาะรูให้เป็นจานซิ่ง ไม่ได้ทำมั่วๆ เพราะใช้เครื่องมือเจาะ เขียน AUTOCAD แล้วให้ช่างที่ทำงานประเภทนี้เจาะมิลลิ่งให้ใหม่ ไม่ได้ใช้สว่านเจาะดื้อๆ นะครับ แบบนั้นอันตราย พอเปลี่ยนเบรกแล้วอยู่ดีกว่าเดิมเยอะเลย ทำไว้เผื่ออนาคตจะเซ็ตเทอร์โบ หรือวางเครื่องใหม่ก็จะได้ไม่ต้องทำอีกรอบ ส่วนด้านหลัง ก็รอซื้อเพลา Mu ที่มีดิสก์หลังกับเฟืองท้ายลิมิเต็ดมาด้วยเป็นโปรเจ็กต์ต่อไป



ภายใน เด่นด้วยพวงมาลัย LOTUS ???
ภายในก็ยังไม่ได้แต่งอะไรมาก เพราะต้องการขับใช้งานและขนของบ้างบางที แต่ถึงจะแต่งไม่มาก แต่ของที่มีก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ได้ความแปลกจริงๆ พวงมาลัยสามก้านหนังอย่างดี เห็นคำว่า LOTUS ที่ไม่ใช่ซูเปอร์มาร์เก็ต คนส่วนใหญ่คงคิดว่ามันมีด้วยเหรอ จะบอกให้ว่า พวงมาลัยอันนี้ มันมีเอี่ยวกับ ISUZU ด้วย สามารถใส่กันได้อย่างพอดีแบบสวมทั้งคอ ซึ่งคอมันจะปิดช่องว่างได้พอดีไม่โหว่เหมือนคอพวงมาลัยแต่งทั่วไปอีกด้วย ความเป็นมาก็คือ พวงมาลัยอันนี้มาจาก ISUZU STYLUS ที่เป็นรถเก๋งแบบสปอร์ต มีขายในญี่ปุ่น จะให้ LOTUS เป็นผู้เซ็ตระบบช่วงล่างให้ รวมไปถึง TROOPER บางรุ่น ที่จะให้ LOTUS เซ็ตช่วงล่างให้เหมือนกัน ดังนั้น มันจึงเอามาใส่กับ CAMEO คันนี้ได้พอดี สวยแปลกตา ไม่ต้องจำเจกับยี่ห้อทั่วไป แถมยังจับได้ดีด้วย เป็นของแปลกที่รุ่นพี่บ้าๆ คนหนึ่งชี้เป้ามาให้ในราคาถูกด้วย


จุดเด่นอีกจุด คือ เบาะ RECARO
หมอนตาข่าย ทรง Retro สภาพสวย ที่รุ่นพี่ท่านหนึ่งขายมาให้ในราคาพี่น้องกัน และไปได้รางเบาะ RECARO ตรงรุ่น Mu WIZARD สามารถใส่ CAMEO ได้พอดี หัวเกียร์ก็เล่นของดีที่คนไม่แล ด้วยการเอาของ D-MAX รุ่นใหม่มาใส่ มันเป็นหัวเกียร์เย็บหนังที่จับดีกว่าเดิม ใส่ไปแล้วเข้ากับพวงมาลัย แป้นเหยียบของ LONZA ทรงเรโทรซิ่ง ตบตูดด้วยเครื่องเสียงพอตึ้มๆ ตื้ดๆ ก็พอใจแล้วเพราะงบหมด 555 กว่าจะจบลงได้ก็ไม่ง่าย เพราะแต่ละอย่างมันมีเรื่องเล่า ที่มาบางอย่างก็ง่าย บางอย่างก็ยาก บางอย่างก็ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ บางอย่างก็ได้เพื่อนๆ พี่ๆ อนุเคราะห์ให้มา แต่ท้ายสุดแล้ว สิ่งละอันพันละน้อยที่ผสมผสานกันขึ้นมา ก็ทำให้รถคันนี้ออกมาดูดี สวยเรียบร้อย มันก็เป็นอีกแนวหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการใช้งบประมาณมากในการแต่งรถ เอาแบบ “พอเพียง” และใช้การคิดก่อนลงมือทำ อะไรทำเองได้ก็ทำ มันก็ออกมาดูดีได้เช่นกันครับ ท้ายสุดขอบคุณ “นายแน๊ปตี้” ที่ถ่ายภาพและนำเสนอเรื่องราวรถคันนี้ ถ้าใครอยู่ย่านโรงโป๊ะ บางละมุง ชลบุรี หรือแถบใกล้เคียง สนใจโทรศัพท์มือถือรุ่นต่างๆ ติดต่อสอบถามได้ที่ THIRD Mobile Phone 085-555-7574 แน๊ปตี้ยินดีจัดให้


วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

“ซื้อรถอะไรดี” ซื้อยังไงไม่ให้ “ชอกช้ำระกำใจ” สำหรับคนซื้อ รถคันแรก


นโยบาย “รถคันแรก” ที่ทำเอาคนเราตาโตเป็นแถว คนที่อยากจะมีรถคันแรกก็รีบหาเงินมาซื้อกัน แล้วรอเงินคืน หรือบางคนก็อยากจะซื้อรถเพื่อเอาส่วนลดที่ว่านี้ ก็มีการซื้อในนามของ พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติ ที่ยังไม่มีชื่อในการเป็นเจ้าของรถ แต่ทว่า การซื้อรถนั้น มันไม่ได้จำกัดเพียงว่า “ซื้อ ซื้อ ซื้อ” แล้วมันจะจบนะครับ !!! มันมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ที่ต้องคำนวณ หลังจากเริ่มซื้อรถมา ใช้ไป มันต้องมีอะไรตามมาหลังจากนั้นบ้าง ??? และสำคัญที่สุดคือ “สภาพคล่องของคนซื้อจะไหวหรือเปล่า” บางคนก็ซื้อรถมาใช้งานได้คุ้มค่า บางคน หรือหลายคน ก็ซื้อรถมากลายเป็น “ภาระ” แล้วจะซื้อรถดีไหม แล้วจะซื้อรถอะไรดี ถึงจะเดือดร้อนน้อยสุดล่ะ ???



จำเป็นแค่ไหนที่ต้องซื้อรถ ???
คำถามนี้ คุณต้องถามตัวเองก่อนนะครับ จำเป็นแค่ไหน และจำเป็นจริงหรือไม่ที่จะต้องซื้อรถ ??? และควรจะต้องตอบตัวเองด้วย ไม่ต้องถามคนอื่นหรอก ไม่มีประโยชน์ เพราะคนอื่นมันก็ต้องยุให้คุณซื้อนั่นแหละ โดยเฉพาะเพื่อนฝูงทั้งหลายนี่ตัวดี พูดกันตรงๆ เขาก็อยากให้คุณซื้อรถ เพราะอยากจะอาศัยรถคุณไปนั่นมานี่นั่นแหละ หลายคนซื้อรถเพราะ “ลูกยุ” ผมเชื่อว่าเป็นส่วนมากนะครับ หรือบางทีก็เห็นแก่ส่วนลด ซื้อมาเลยก็มี ตรงนี้คุณควรคิดบ้าง และอย่านำความ “อยาก” มานำความ “คิด” ลองถ้าได้อยากซะแล้วอะไรก็เอาไม่อยู่ (ก็กูจะซื้อง่ะ) นี่แหละที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา

รถคันแรก

กรณีที่ยังไม่เคยมีรถ ลองถามตัวเองว่า ชีวิตขณะที่ไม่มีรถแล้วคุณเดือดร้อนหรือเปล่า ??? บางคนอยู่ใกล้ที่ทำงาน วันหยุดก็เอาแต่นอนอยู่บ้าน ออกไปก็แค่ใกล้ๆ ไปทำงานก็ขึ้นรถไฟฟ้าไป กลับบ้านก็รถไฟฟ้ากลับ สะดวกจะตาย ไม่มีครอบครัว หรือสาวใดมีแฟน แฟนมีรถ จะไปไหนก็ให้แฟนมารับยังงั้นก็ดี (มีแฟนก็ต้องให้ช่วยเราได้สิ ไม่งั้นจะมีทำไม ถูกมะ) เรียกว่าไม่มีรถก็ไม่เดือดร้อน สรุปสั้นๆ ว่า “ไม่ต้องซื้อก็ได้” จบนะ ไม่ต้องเวิ่นเว้อให้เปลืองกระดาษ

กรณีตรงข้าม ตัวเองเดือดร้อนกับการเดินทาง รถสาธารณะแม่มก็โคตรจะห่วย ชีวิตหาความปลอดภัยไม่มี ต้องเดินทางไกล ทำงานไกล กลับมืด บ้านเข้าซอยลึก ค่อนข้างเปลี่ยว ต้องไปเยี่ยมพ่อแม่ พาลูกเมียไปเที่ยว ฯลฯ อันนั้นก็ “ซื้อได้ครับ” เข้าใจครับว่าคนเราก็มีความจำเป็นที่ไม่เหมือนกัน เพียงแต่ถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็ซื้อเถอะครับ ถ้ามีเงินพอจะผ่อนส่งค่างวดได้นะ และด้วยเรื่องค่างวดค่านั่นค่านี่ เราต้องมาคุยกันต่อในวรรคต่อไปไงล่ะครับ…

รถยนต์แบบ MPV หรือ Multi Purpose Vehicle จะต่างกับรถ SUV ตรงที่ว่า ไม่ได้ผลิตมาเผื่อลุย พื้นฐานก็รถเก๋งทั่วไปนี่แหละ เพียงแต่ทำเป็นทรงรถตู้ เพื่อให้ใช้งานได้อเนกประสงค์ ในบ้านเรารถแบบนี้ตัวเลือกจะค่อนข้างน้อยอยู่ไม่กี่ค่าย ถ้ามีครอบครัวใหญ่หน่อย ประมาณ 5-7 คน ก็ถือว่าเหมาะสมดี



ซื้อรถอะไรดี ???
ปัญหาโลกแตกครับ ปัญหายอดฮิตประจำชาติ “ซื้อรถอะไรดี” บอกตรงๆ เป็นคำถามโคตรง่ายที่ตอบยากที่สุด ทำไมน่ะหรือ ??? แล้วผมจะรู้กับคุณไหมล่ะครับ ว่าคุณชอบรถอะไร คุณมีเงินเดือนเท่าไหร่ คุณมีปัญญาซื้อรถราคาขนาดไหนดี สีอะไรที่ชอบ คุณต้องการใช้แบบไหน ครอบครัว ส่วนตัว ฯลฯ แต่บางทีก็จนด้วยเกล้า รถมีมากมายให้เลือก ไม่รู้จะเลือกรถอะไรดี เอาล่ะ ผมก็มีคำแนะนำมาเป็นข้อๆ เพื่อจะได้คำตอบที่แคบขึ้น

“มีเงินอยู่เท่าไหร่” ถ้า “ซื้อเงินสด” ก็ง่ายหน่อย มีงบแน่นอนเท่าไรก็โยนลงไปเลย อันนี้ไม่ยากเพราะเงินมันเป็นตัวบังคับอยู่แล้ว แต่ก็เผื่อไว้นิดหน่อยนะ อย่าซื้อรถที่พอดีงบจริงๆ ประเภทต้องแคะกระปุกทุกบาททุกสลึงมาซื้อ เพราะรถในแต่ละรุ่น มันก็มีหลายราคาให้เลือก บางทีซื้อรุ่นท๊อปแล้วตึงมือ ก็ยอมซื้อรุ่นรองๆ มาหน่อยก็ได้มั้งครับ ขอให้มีเงินเหลือบ้าง เพราะการซื้อรถ มันต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นจิปาถะอีกมากมาย จดทะเบียน ค่าประกัน ค่าติดฟิล์มกรองแสง ค่าห่….เหว……อะไรก็ตามแต่ บางคนซื้อมาก็หาเรื่อง “แต่ง” ก็ต้องใช้เงินอีก (ล้อแม็กน่ะโดนก่อนเลย) เพราะฉะนั้น ควรจะซื้อรถแล้วมีเงินเหลืออยู่บ้าง เพื่อเผื่อค่าใช้จ่ายไอ้อย่างที่ว่ามาอีกจะได้ไม่ตึงมือเกินไป

ถ้าเกิดซื้อ “ผ่อน” อันนี้จะต้องคิดยาวๆ หน่อยนะครับ ส่วนใหญ่เงินไม่พอถึงต้องผ่อนนั่นแหละ และส่วนใหญ่ก็มักจะซื้อรถที่แพงเกินฐานะ ถือว่าผ่อนได้ไงล่ะ ตรงนี้คุณก็ต้องพิจารณาจากรายได้ของคุณเอง ว่ามีปัญญาจะผ่อนไหวไหม ถ้ารู้สึกหวั่นไหวว่าจะ “ร่วง” ก็ไปผ่อนไอ้รถรุ่นถูกกว่าก็ได้ อย่า “หน้าใหญ่ใจโต” ให้มากนัก เดือดร้อนเองแล้วจะรู้สึก ผ่อนไม่ไหวโดนยึดกันมามากมายแล้วคงไม่ต้องบอกกันมากนะ ไหลไปเรื่อย เข้าประเด็นที่ว่า “ซื้อรถอะไรดี” เมื่อเราจัดสรรงบประมาณได้เรียบร้อย จะผ่อนหรือสดก็ว่ากันไป ก็ลองมาเลือกดูถึง “ความต้องการของแต่ละคน” มันไม่เหมือนกันนะครับ ต้องถามตัวเองเป็นหลัก ยกตัวอย่าง ถ้าเป็นคนที่เน้นใช้งานในเมืองเป็นหลัก มีครอบครัวเล็ก พ่อ แม่ ลูก ไม่เกินสี่คน ชอบความประหยัด ฐานะปานกลาง จัดไปเลยครับ ECO CAR ตรงเป้าที่สุด หรือถ้าเอาใหญ่มาอีกหน่อย ก็รถเก๋ง 1,500 ซีซี อันนี้จะออกต่างจังหวัดได้มั่นใจกว่า ECO CAR ไปอีกระดับ จริงๆ แล้ว ECO CAR มันก็ไปทางไกลได้แหละ อย่าไปเชื่อว่ามันวิ่งทางไกลไม่ได้ “รถอะไรก็วิ่งได้ ถ้ามันสมบูรณ์” ไม่ตายกลางทาง ต่อให้โคตรรถ Luxury คันละหลายล้าน หรือกว่าสิบล้าน แต่ดันมีปัญหาอะไรสักอย่างจอดเดี้ยงริมถนนก็เยอะแยะไป เพราะฉะนั้นควรจะเลิกกังวลกับความคิดปัญญาอ่อน ว่า ECO CAR วิ่งทางไกลไม่ได้ มันไปได้ครับ แต่อย่าไปเร็วเกินไปนัก ก็เห็นคนขับ ECO CAR ไปสุดเหนือสุดใต้เยอะแยะไป แต่พวกเขาขับกันอย่าง “มีสติ” ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ ตรงกันข้ามขับซูเปอร์คาร์เทพๆ ทุกอย่างโคตรสุดยอดเลยว่ะ แต่ขับด้วยความไร้สติ กลับมาแต่เถ้ากระดูกก็มีให้เห็นอยู่เยอะแยะ

ส่วนคนที่ต้องการรถใช้งานแบบค่อนข้างสมบุกสมบันหน่อย ชอบออกต่างจังหวัด ชอบ Activity ต่างๆ และมีเงินมากพอ ก็ควรจะมอง “รถกระบะ” หรือ “รถอเนกประสงค์” ไว้จะดีกว่า อย่างรถกระบะหรือรถอเนกประสงค์สมัยนี้มันก็มีสมรรถนะดี แถมประหยัด (ถ้าไม่บ้าเหยียบมากไปนะ) เดี๋ยวนี้กระบะ 4 ประตู ก็โดยสารได้สบาย “แอร์เย็น เพลงเพราะ” เหอะว่างั้น ขับสบาย มีเกียร์ออโต้ให้เลือกใช้อีก มันก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าซื้อรถเก๋งที่ได้เรื่องขับดี นุ่มนวล แต่การใช้งานและความแข็งแกร่งสู้รถพวกนี้ไม่ได้ครับ ปัจจุบัน คนที่ใช้รถเก๋ง หันมาใช้รถพวกนี้กันมากจริงๆ เพราะความอเนกประสงค์ของมันนั่นแหละครับ



จะเลือกอะไรดี ??? ก็เลือกรถที่คุณชอบสิ !!!
หลังจากที่ได้รถในใจแล้ว บางคนก็ตัดสินใจง่าย เพราะมี “ตัวเลือกเดียว” อันนั้นผมไม่ค้านครับ เพราะมันอยู่ที่ความอยากได้ของคุณ หรือพวกเหล่า “จงรักภักดีในตราสินค้า” หรือ “Brand Royalty” ที่ฝรั่งว่าไว้ อันนี้ผมไม่พูดถึง เพราะถ้าชอบและซื้อไหวก็เอาเลย เพราะยังไงคุณก็ตั้งใจ “เอาอยู่” แล้ว แต่จะมีคนส่วนใหญ่ที่ “หลายใจ” เพราะรถระดับเดียวกันมันก็มีตั้งหลายยี่ห้อ ไอ้ยี่ห้อ “โตโยเย” ก็อยากได้ ไอ้ยี่ห้อ “นิดสั้น” ก็ไม่เลว ไอ้ “ฮอนดู้” ของแต่งมันเยอะดี ไอ้ “มิฮูมิฮิ” เซลส์มันสวยฉอเลาะดีว่ะ ฯลฯ เกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง เลือกไม่ถูกซะงั้น

ยิ่งไปฟังข้อมูลมาจากหลายฝ่าย ไอ้เรื่องข้อมูลทั่วไป ผมถือว่าเป็น “เครื่องประกอบการตัดสินใจเท่านั้น” เพราะคนที่ชอบยี่ห้อนั้น ยังไงเขาก็เชียร์เข้าข้างตัวเอง แต่ก็จะมีคนที่เป็นกลาง พร้อมจะเปิดเผยข้อมูลว่ามีอะไรดี มีอะไรเสียบ้าง พวกเว็บไซต์ คาร์คลับต่างๆ ที่ “ดูเป็นทางการและดูมีสาระ” ไม่ใช่ตั้งเห่อๆ แบบบางเว็บตั้งโดยเด็กหัดซิ่งเกรียนๆ คุยกันโคตรไร้สาระ บ้าพลังคลั่งแต่แรงก็อย่าไปอ่านแม่มมัน เหล่านี้จะให้ข้อมูลคุณได้ สมมติคุณอยากจะได้รถรุ่นนี้แน่ๆ ก็ลองเข้าไปในคลับรถรุ่นนั้นดู เขาจะมีห้องข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ประสบกันมา ก็จะมีสมาชิกที่พบปัญหาเข้ามาอัพเดตกัน (บางทีก็ด่าด้วยความคับแค้น) คุณลองเข้าไปอ่านและตัดสินใจดูเอง

เพราะฉะนั้น “เลือกรถที่คุณชอบที่สุด” แน่นอนครับ รถคุณเป็นคนซื้อ เงินก็เงินของคุณ และคุณต้องเป็นคนที่ใช้มัน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่ชอบรถรุ่นนั้น แต่ดันซื้อมาเพราะแรงเชียร์ หรือ Inspiration แรงบันดาลใจบ้าบออะไรต่างๆ ที่มาทำให้คุณ “เขว” บางทีก็ฟังมากไป เชื่อคนอื่นมากไป เจอแรงยุที่ไม่ได้มีเหตุผล นี่ จะบอกให้ บางคนหลงเสน่ห์ “เซลส์สวย” ลูกล่อลูกชนดี พูดจาเอาอกเอาใจคะๆ ขาๆ ขาๆ คะๆ กล่อมให้เคลิ้มก็คิดว่าเอาวะ งานนี้หลวมตัวไปแล้ว ก็ด้วยไอ้เหตุผลทั้งหลายทั้งปวงนี่ทำให้คุณเหมือน “จำใจซื้อ” คุณก็ใช้รถคันนั้นอย่างจำใจ รถยนต์นะครับ ไม่ใช่รถของเล่น ที่เบื่อก็จะทิ้งขว้างซื้อคันใหม่ เพราะฉะนั้น “ซื้อไอ้ที่คุณชอบและจ่ายไหว” จะดีที่สุดครับ เชื่อผมเถอะ



Nobody’s perfect
ผมจะบอกอย่างหนึ่งว่า รถยนต์ที่ขายกันสมัยใหม่นี้ “ต่างก็มีมาตรฐานเดียวกัน” ทุกยี่ห้อต้องผ่านการทดสอบ ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ (QC) อยู่แล้ว เพราะงั้นด้วยความที่เป็นรถใหม่ มันก็โอเคอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม “โนบอดี้เพอร์เฟค” ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบทุกอย่าง รถทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ต่างก็ย่อมมี “จุดเด่น จุดด้อย” เช่นกัน ต่อให้แพงโคตรๆ ก็ย่อมหนีสัจธรรมนี้ไปไม่พ้น มันพูดลำบากครับ ไอ้ที่เห็นมาทุบรถประท้วง หรือด่าประจานออกสื่อต่างๆ มันก็มีแทบทุกยี่ห้อ รถถูกไปยันแพง รถที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนมากๆ ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา เมืองนอกเขาเรียกรถที่มีปัญหาไปเคลมกันอยู่บ่อยๆ แต่บ้านเราอาจจะ “ขาดความรับผิดชอบ” ก็เลยมีการโวยวายกันเกิดขึ้น

ดังนั้น ถ้าคุณชอบรถยี่ห้อไหน รุ่นไหน ก็ลองหาข้อมูลใน “ด้านลบ” ดูหน่อย ถ้ามันไม่ได้มากมายอะไรนัก สามารถแก้ได้ง่ายและจบ ไม่มีดาบสองดาบสามตามมา และศูนย์บริการรับผิดชอบดีก็ซื้อได้ครับ จะไปหวังรถดี 100 % ไร้ข้อบกพร่องเลยในโลกนี้ไม่มีหรอก รถใหม่ส่วนใหญ่ก็ใช้ดีไม่มีปัญหา แต่บางคันในรุ่นเดียวกัน ซื้อไล่ๆ กัน อาจจะมีปัญหา แถมแต่ละคันยังเจอปัญหาไม่เหมือนกันอีก ตรงนี้ก็ต้องทำใจถ้าดันไปเจอคันนั้นเข้า แต่ถ้ามันมีปัญหามาก ทั้งตัวรถที่มีปัญหาซ้ำซาก แก้ไขไม่ได้ หรือไม่แก้ไข ทำให้อาจจะเกิดอันตรายกับชีวิตได้ และศูนย์บริการก็เสือกไร้ความรับผิดชอบอีก สรุป “มีคนด่ามากกว่ามีคนชม” อันนั้นหายี่ห้ออื่นเหอะครับ



“รถ” มันก็คือ “ลด” ความจริงที่โหดร้าย รับไหวหรือเปล่า ???
รถ กับ ลด ออกเสียงเหมือนกัน มีรถ มันก็ต้องมาลดเงินในกระเป๋าเรา อย่าคิดสั้นๆ เพียงแค่มีค่าผ่อนไปแต่ละงวด (อย่างรวยริน) แค่นั้นนะครับ จริงอยู่ บางคนบอกรถใหม่ มีตังค์ผ่อนกับเติมน้ำมันพอแล้ว แถมยังมีระยะรับประกันอีก เจ๊งอะไรก็เคลมซะจะไปกลัวอะไร แล้วไม่คิดมั่งเหรอครับ ??? ว่ารถใช้ไปมันก็มี “ค่าสึกหรอ” ตามมาในอนาคต เช่น ค่าบำรุงรักษา น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ ใช้ไปๆ ยางก็หมด ต้องหาที่ผ่อนค่ายาง 0 % อีก ค่าน้ำมันที่จะแพงขึ้นทุกวัน ค่าที่จอดรถ บ้านไม่มีที่จอดก็ต้องแห่ไปเช่าที่จอดต่างหาก ค่าประกัน ราคาขายต่อในอนาคตว่าจะตกแค่ไหน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คุณต้องพร้อมจ่ายถ้าจะใช้รถ ฟังแค่นี้ก็มึนแล้ว

นี่ๆ อันนี้ปัญหาคลาสสิคเลยนะ บางคนมีงบจำกัด แต่ดัน “หน้าใหญ่ใจสปอร์ต” ซื้อรถเกินฐานะ กะว่า “ผ่อนตึง” ก็รอลุ้นเอาวะ มีเยอะนะครับ เงินเดือนขนาดมีปัญญาผ่อน ECO CAR สบายๆ เงินเหลือๆ ประหยัดน้ำมันดีๆ ไม่ชอบ แต่ดันจะเอารถคันละเกือบล้าน รุ่นธรรมดาไม่ว่า ดันจะเอารุ่นท๊อป ประมาณว่ากูต้องท๊อปฟอร์มไว้ก่อน แต่เบื้องหลังกระอัก ผ่อนแพง ค่าบำรุงรักษาสูง กินน้ำมันมากขึ้น ที่ผมเรียกว่า “ผ่อนตึง” ยังไงล่ะ มันไม่ผ่อนอ่ะ มันตึงอ่ะ เงินเดือนที่ได้มาก็ผ่อนรถเกือบหมด นี่ยังไม่นับรวมค่าครองชีพอย่างอื่นเลยนะ เจอค่าบำรุงรักษาเข้าไปทีก็หน้ามืด ชักหน้าไม่ถึงหลัง มาม่านี่ของโปรด อย่าหัวเราะเพราะเคยเจอคนรู้จักที่เจอแบบนี้เข้าไป ตังค์เติมน้ำมันแทบจะไม่มี ไปไหนก็ไม่ได้นอกจากไปทำงานกลับบ้าน เฮ้อ อะไรจะขนาดนั้น ผ่อนไอ้ที่มัน “สบายเรา” ดีกว่าไหม ยอมลดอีโก้ลงมาหน่อย ขับรถถูกๆ สบายๆ ไม่เครียด หรือจะขับรถหรูดูดี แต่มีมีดปักหลัง ??? รถของท่าน เงินของท่าน ท่านผ่อนเอง จะผ่อนสบายๆ หรือผ่อนตึงหน้าดำคร่ำเครียด ก็เลือกเอาเองนะครับ สวัสดี


HILUX RN20 กระบะที่คนลืม จัดเต็มกับรายละเอียด




ทำไมกระบะเรโทรบ่อยจัง ??? เชื่อว่าต้องมีคุณผู้ชมคิดคำถามนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอนครับ แต่ก็มีคำตอบว่า จะไม่ให้บ่อยได้อย่างไร เพราะกระแส “กระบะเรโทร” ตอนนี้มาแรงแซงหน้ารถเก๋งเรโทรไปแล้ว ประการแรก รถเก๋งมีคนเล่นเยอะแล้ว ก็เลยหันมาหากระบะกันบ้าง มันก็เลยเป็นกระแสใหม่ๆ เกิดขึ้นในสังคม ประการที่สอง รถกระบะเรโทรสามารถใช้ทำมาหากินได้ บรรทุกของไปขายตามตลาดนัดแนวๆ ที่มีเยอะแยะอยู่ตอนนี้ กระแสมันก็เลยแรงไงครับ อย่างคันนี้ก็เป็น HILUX RN20 ที่ทำกันจนสวยมาก เจ้าของต้องรักจริงๆ ถึงจะปั้นได้งามขนาดนี้



HILUX RN20

นั้นมีประวัติ เริ่มผลิตขึ้นในปี 1973 เป็นรุ่นที่ 2 ของตระกูล HILUX ซึ่งต่อจาก RN10 รุ่น RN20 ก็จะเน้นห้องโดยสารที่สบายขึ้นกว่าเดิม ไม่หลังขดหลังแข็งเหมือนรุ่นเก่า ก็นับว่าเป็นความสบายที่ทำให้ขับได้ทั้งใช้งานบรรทุกและใช้งานส่วนตัว คันนี้ทางอู่ SIAM RETRO ที่เป็นอู่ปั้นรถเรโทรโดยเฉพาะ ด้วยความรักชอบส่วนตัว เน้นทำรถแบบเพื่อนฝูง จึงได้ปลุกปั้น RN20 คันนี้ขึ้นมา ทางอู่ว่าทำยากอยู่เหมือนกัน อะไหล่ต่างๆ มันก็หายากไปตามปีรถ พยายามเก็บเดิมๆ ไว้ให้มากที่สุด ของพวกนี้ก็ต้องทุ่มเทหาจริงๆ แต่จะมีไม่เดิมก็ไฟท้าย โดยการเอาของ RN30 ม้ากระโดด มาใส่ไปก่อน พวกของต่างๆ ก็หาตัวนอกมาใส่ เรียกว่าตั้งใจทำให้ครบกันจริงๆ ดูภาพเลยดีกว่าครับ ถ่ายมาฝากกันเพียบ



ท้ายสุดขอขอบคุณ SIAM RETRO สนใจซ่อมรถเรโทร อะไหล่รถเรโทรรุ่นต่างๆ สายตรงไปเลย 082-704-3455 ช่างยุทธ ยินดีบริการ


วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตามมาติดๆกับ A-class ตัวล่าสุด Mercedes A45 AMG


Mercedes A45 AMG


หลังจากปล่อย A-Class เวอร์ชั่นล่าสุดออกสู่ตลาดไปไม่นาน ทางสำนัก AMG ก็จัดของแรงออกมาให้ลูกค้ากระเป๋าหนักเตรียมเป็นเจ้าของทันทีกับ Mercedes A45 AMG ที่เล่นแรงด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบ 360 แรงม้า พร้อมแรงบิด 450 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยระบบ AMG 4MATIC All Wheel Drive ปั่นอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 4.6 วินาที ทะลุไปสู่ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วที่ล็อคเอาไว้ นอกจากพละกำลังอันทรงอานุภาพแล้ว A45 AMG ยังมีอัตราสิ้นเปลืองที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย โดยตัวเลขที่ต้นสังกัดเคลมไว้อยู่ที่ 6.9 ลิตร/100 กม. ทั้งยังมีความสะอาดตามมาตรฐานไอเสีย EU6 อีกด้วย เคล็ดลับความเร้าใจนั้นมาจากการถ่ายทอดเทคโนโลยี BuleDIRECT ลงมาใน A45 AMG เช่น ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Spray-Guided ด้วยหัวฉีด Piezo Injectors รวมถึงการปรับปรุงระบบจุดระเบิดใหม่ เพื่อให้เกิดการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งยังรวมไปถึงการปล่อยค่ามลพิษที่ต่ำอีกด้วย

Mercedes A45 AMG


ไฮไลต์อื่นๆ ของเทคโนโลยีนี้ก็คือ การใช้อ่างน้ำมันที่ทำจากอลูมิเนียมผสม ส่วนข้อเหวี่ยงนั้นทำขึ้นจากเหล็กหล่อ เช่นเดียวกับลูกสูบที่ลดการเสียดสี และการสึกหรอ โดยการเคลือบสาร NANOSLIDE ไว้ที่ผนังห้องเผาไหม้ ติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ และติดตั้งระบบ ECO Start/Stop มาให้เป็นมาตรฐาน ระบบอัดอากาศเป็นแบบ Twin-Scroll ตั้งกำลังอัดการบูสต์เอาไว้ที่ 1.8 บาร์ มาพร้อมกับชุดทางเดินไอเสียจาก AMG และมีการปรับจังหวะการเปิด-ปิดวาล์วไอเสียใหม่ โดยชุดระบบไอเสียนี้หยิบยืมมาจาก SLK 55 AMG ส่วนระบบระบายความร้อนที่กล่าวถึงไปนั้นใช้เทคโนโลยีเดียวกับ SLS AMG โดยติดตั้ง Inter cooler ขนาดใหญ่ไว้ด้านหน้า เสริมด้วย Cooler ตัวเล็กไว้ในซุ้มล้อ ติดตั้งปั๊มไฟฟ้าไว้ด้านหลังพอร์ตไอดี เพื่อให้สามารถดึงเอาน้ำไประบายความร้อนได้อย่างรวดเร็วขึ้น ส่วนระบบหล่อเย็นชุดเกียร์นั้นก็จะมีปั๊มอีกหนึ่งตัวแยกต่างหาก สำหรับการดึงน้ำมาระบายความร้อยนให้กับชุดเกียร์ AMG Speedshift DCT 7 สปีด คลัทช์คู่ ที่ส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อทั้ง 4 แบบ All Wheel Drive และมีฟังค์ชั่น Race Start ติดตั้งมาให้เพื่อเพิ่มความเร้าใจขณะออกตัว มีโหมดการขับขี่ C – Controlled Efficiency และ S – Sport ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน และเพิ่มโหมด M (Manual ) ที่ต้นสังกัดเรียกมันว่า Momentary มาให้สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการ Shift Up-Down เกียร์ด้วยตัวเอง โดยทั้งโหมด S และ M นี้ได้ถูกปรับแต่งให้บุคคลิก และอารมณ์แบบเดียวกับ SLS AMG GT ทั้งสมรรถนะการขับขี่ การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็ว หรือแม้กระทั่งลุ้มเสียงสุดเร้าใจ ในขณะที่โหมด C – Controlled Efficiency จะเป็นอารมณ์ของการเปลีย่นเกียร์ที่นุ่มนวล ขับขี่สบาย และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำ จากการทำงานของระบบ ECO Start/Stop

Mercedes A45 AMG

ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4MATIC all-wheel drive เซ็ทอัพโดยเน้นสมรรถนะการขับขี่ ซึ่งระบบขับเคลื่อนชุดนี้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่พัฒนาขึ้น ซึ่งลดน้ำหนักลงได้ถึง 25% เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่น โดยมีอัตราการกระจายแรงขับเคลื่อนอยู่ที่ 50:50 เสริมเสถียรภาพการขับขี่ด้วยระบบ Three-stage ESP® ที่สามารถเลือกจัดหนักด้วยการปิด ESP Off-On หรือ Sport Handling ได้ ทั้งยังมีระบบ ESP® Curve Dynamic มาช่วยเพิ่มความมั่นใจในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงยกระดับความปลอดภัยขึ้นไปอีกหนึ่งสเตป

Mercedes A45 AMG


ชุดช่วงล่าง AMG Sport ใช้พื้นฐานระบบอิสระ 3-ลิงค์ด้านหน้า และ 4-ลิงค์ในด้านหลัง พร้อมการปรับปรุงยกระบบ เช่น ปรับเซ็ทโช๊คอัพ และสปริงให้แข็งขึ้น เปลี่ยนไปใช้เหล็กกันโคงขนาดใหญ่ขึ้น ติดตั้งซับเฟรมเพื่อความแข็งแกร่ง ใส่ล้ออัลลอยด์ AMG ลายก้านคู่สีเทา Titanium Grey ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางซีรี่ส์ 235/40 มาเป็นมาตรฐาน ควบคุมเฉียบคมด้วยชุดพวงมาลัย AMG Speed-Sensitive Sports อัตราทด 14.5:1 และชุดเบรกสมรรถนะสูง AMG High-Performance Braking System ที่อัพเกรดขนาดจานหน้าเป็น 350 x 32 มม. ด้านหลัง 330 x 22 มม.

จากเทคโนโลยีความแรงสู่ความโดดเด่นของรูปลักษณ์ที่สร้างสรรค์ชึ้นด้วยผลงานของสำนัก AMG เช่นเดียวกัน โดยจะประกอบด้วย กระจังหน้าทรง Twin Blade คาดกลางด้วยเส้นคู่สีเทา Titanium Grey สู่โลโกดาวสามแฉกขนาดใหญ่ตรงกลาง ส่วนด้านหลังเพิ่มความสปอร์ตด้วยชุดกันชนที่มี Diffuser ในตัวรับกับท่อไอเสียโครเมี่ยมทรงเหลี่ยมทั้ง 2 ฝั่ง สำหรับภายในห้องโดยสารสะดุดตากับเบาะนั่งสปอร์ตจาก ARTICO หุ้มด้วยหนัง DINAMICA ผสมผสานกับผ้าไมโครไฟเบอร์เดินด้ายแดงคู่ สะดวกสบายด้วยพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย แผงแดชบอร์ดเร้าใจด้วยคาร์บอนไฟเบอร์เน้นความเด่นด้วยกรอบช่องแอร์สีดำ-แดงทั้ง 4 ช่อง เข็มขัดนิรภัยสีแดงสด กาบบันได AMG ซึ่งรวมถึงมาตรวัดสุดเร้าใจสไตล์ AMG ที่มากับฟังค์ชั่น Racetimer อีกด้วย


รถ รุ่น ใหม่ Seat Leon SC ตัวแรงสัญชาติสเปน


รถ รุ่น ใหม่ Hot Hatch ตัวแรงสัญชาติสเปนอย่าง Seat เผยรายละเอียด Leon SC เวอร์ชั่นล่าสุด โดยลักษณะทางกายภาพนั้นยังคงถอดแบบมาจากอนุกรม Leon 5 ประตูมาอย่างครบถ้วน แล้วเสริมความเป็นสปอร์ตเข้าไปด้วยด้วยการขยับฐานล้อให้สั้นลงอีก 35 มม. ทำให้ รถ รุ่น ใหม่ Seat Leon SC มีความยาวตัวรถที่ 4.23 ม. โอเวอร์แฮ็งค์หน้า-หลังปรับให้สั้นกระชั้น พร้อมดึงขอบกันชนหลังให้ต่ำลงอีกระดับ เพื่อเน้นความเป็นสปอร์ต และทรงพลังมากขึ้น

รถ รุ่น ใหม่ Seat Leon SC


ในมุมมองด้านหน้าใช้ลักษณะของ Arrow Face มาเป็นแนวทางในการดีไซน์ ซึ่งจะสังเกตถึงเส้นสายในการออกแบบทั้งหมดจะมุ่งไปที่ด้านหน้าของรถเป็นหลัก โดยเส้นสายการดีไซน์นั้นจะใช้ทรง 3 เหลี่ยมมาเป็นส่วนประกอบสำคัญ เช่น งานออกแบบรูปทรงของไฟหน้า ที่มีออพชั่นชุดไฟ LED เต็มระบบเพื่อเสริมความโดดเด่น โดยเทคโนโลยีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ติดตั้งลงในรถพิกัด Compact Car Segment อีกด้วย

ในด้านข้างเหล่าดีไซเนอร์พยายามถ่วงสมดุลย์ระหว่างเนื้อโลหะ และกระจกอย่างเหมาะสม โดย 1 ใน 3 คือพื้นที่กระจก และ 2 ใน 3 คือพื้นผิวตัวถัง เพิ่มจุดเด่นด้วยเส้นสายเฉียบคมที่ในภาษาสเปนเรียกว่า Línea Dinámica หรือเส้นสายแบบไดนามิก ในส่วนของเหนือซุ้มล้อหลัง แนวเส้นหลังคามีการปรับให้ลาดเอียง เพื่อเพิ่มอารมณ์ของรถคูเป้มากขึ้น นอกจากนี้โมเดล Leon นี้ยังมีเป็นรุ่นแรกที่ได้ประทับตราโลโก้ Seat รุ่นใหม่ทั้งด้านหน้า ในตำแหน่งดุมล้อรถ ด้านหลังรถ แล้วก็กึ่งกลางพวงมาลัย

รถ รุ่น ใหม่ Seat Leon SC


ภายในห้องโดยสารนั้นก็มีการปรับลุคใหม่โดยเติมความสปอร์ตเข้าไปเพื่อให้สอดรับกับงานดีไซน์ภายนอก โดยเน้นความเรียบง่าย และสะอาดตา วัสดุภายในเลือกใช้เกรดพรีเมี่ยม ตัดเย็บและทำขึ้นในระดับงานฝีมือชั้นเยี่ยม โดยในบางเวอร์ชั่นได้ถูกอัพเกรดให้หรูขึ้นด้วยวัสดุโครเมี่ยม และหนังเกรดพิเศษอีกด้วย ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกนั้นก็มีให้อย่างครบครัน เช่น มาตรวัดขนาดใหญ่ที่อ่านค่าได้ง่าย และชุดพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น คอนโซลกลางติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 5.8 นิ้ว ส่วนเบาะนั่งถูกออกแบบในสไตล์สปอร์ต แต่นั่งสบายแม้จะขับขี่เป็นระยะทางไกลๆ อำนวยความสะดวกด้วยห้องเก็บสัมภาระด้านหลังที่สามารถจุได้มากถึง 380 ลิตร

อรรถรสการขับขี่มีมาให้เลือก 2 สไตล์ คือ เครื่องยนต์เบนซิน TSI และเครื่องยนต์ ดีเซล TDI ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Direct Injection และ Turbocharging ส่วนความจุเครื่องยนต์นั้นทางต้นสังกัดจัดมาให้เลือกหลายพิกัด โดยเริ่มต้นจากรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร TDI กับเรี่ยวแรง 105 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตันเมตร ติดตั้งตัวช่วยประหยัดน้ำมันด้วยระบบ Start/Stop Engine มาเป็นมาตรฐาน มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยเคลมไว้ที่ 3.8 ลิตร/100 กม. และสะอาดด้วยค่า CO2 เพียง 99 กรัม/กม. ต่อมาคือรุ่น 2.0 ลิตร TDI ที่ทรงพลังขึ้นเป็น 150 แรงม้า พร้อมแรงบิด 320 นิวตันเมตร ที่มีค่าความประหยัดราว 4.1 ลิตร/100 กม.

รถ รุ่น ใหม่ Seat Leon SC


ทางด้านเครื่องยนต์เบนซิน TSI เริ่มต้นด้วยเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ที่มากับ 2 เวอร์ชั่น คือ 85 แรงม้าและ 105 แรงม้า ขยับขึ้นมาจะเป็นเครื่องยนต์ความจุ 1.4 ลิตร เจนเนอเรชั่นล่าสุดพกพาเรี่ยวแรงมาให้ใช้ 122 แรงม้า กับแรงบิด 200 นิวตันเมตร ติดตั้งระบบ Start/Stop Engine มาเป็นมาตรฐาน เคลมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 5.2 ลิตร/100 กม. การันตีความสะอาดเอาไว้ที่ 120 กรัม/กม. แล้วก็จะมีรุ่น 1.4 ลิตร TSI ที่อัพเกรดขึ้นมาเป็น 140 แรงม้า พร้อมแรงบิด 250 นิวตันเมตรเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ส่วนอัตราสิ้นเปลืองนั้นเคลมไว้ที่ 5.2 ลิตร/100 กม. สะอาดสุดอยู่ที่ 119 กรัม/100 กม.

สำหรับรถ รุ่น ใหม่ รุ่นที่เป็นไฮไลต์เลย คือ พิกัด 1.8 ลิตร TSI ที่ให้กำลังสูงถึง 180 แรงม้า และแรงบิดถึง 250 นิวตันเมตร ซึ่งทางต้นสังกัดจะปล่อยของตามออกมาในภายหลัง เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ดีเซล TDI ที่จะปล่อยรุ่นย่อยตามออกมาอีก 2 รุ่นคือ 1.6 TDI 90 แรงม้า และ 2.0 TDI 184 แรงม้า ที่มีแรงบิดถึง 380 นิวตันเมตร ส่วนระบบส่งกำลังนั้นก็มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 และ 6 สปีด หรือจะเป็นเกียร์อัตโนมัติ DSG คลัทช์คู่ 6 และ 7 สปีด ก็แล้วแต่รุ่นย่อยที่ติดตั้งมา ในขณะที่พื้นฐานช่วงล่างนั้นด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ติดตั้งซับเฟรมเพิ่มความแข็งแกร่ง ด้านหลังเป็นแบบคานแข็งทอร์ชั่นบีม สำหรับรุ่นที่พละกำลังราวๆ 150 แรงม้าหรือต่ำกว่า ส่วนรุ่นท็อปๆ ที่พละกำลังสูงกว่านั้นช่วงล่างด้านหลังจะเป็นแบบมัลติลิงค์ เพื่อให้มีสมรรถนะการควบคุมที่เปี่ยมประสิทธิภาพ


วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทุ่มกว่า 135 ล้าน จัด Compact Road Show ยิ่งใหญ่ทั่วไทย


Compact Road Show ยิ่งใหญ่ทั่วไทย


คอมแพ็ค” ผู้นำผลิตภัณฑ์ผ้าเบรกเมืองไทย เผยนโยบายและแผนงานทางธุรกิจประจำปี 2556 หลังจากปีที่ผ่านมาทำยอดขายได้ 820 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2554 พร้อมทั้งทุ่มงบกว่า 135 ล้านบาท เพิ่มกำลังผลิตจาก 4 ล้านชุดเป็น 5.5 ล้านชุด ในไตรมาสสองนี้ เพื่อรองรับความต้องการตลาดที่มีอยู่สูง ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาเป็นที่ปรึกษาในด้านการวิจัยและพัฒนา และเดินหน้าผลักดันกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ภายใต้เทคโนโลยี NAO (Non Asbestos Organics) ด้วยฝีมือของไทยคุณภาพระดับโลก จัดกิจกรรมโรดโชว์ Pause For Safety “หยุดอย่างปลอดภัย มั่นใจในผ้าเบรก” ขึ้นทั่วภูมิภาคของไทย ประเดิมที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นแห่งแรก กลางเดือนมีนาคมนี้ โดยตั้งเป้ายอดขายปี 2556 ไว้ที่ 1,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 20%
นายพัฒนะ อิสระพิทักษ์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและภาพลักษณ์บริษัท คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าเบรกคุณภาพสูงระดับพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ COMPACT, DIAMOND และ MUSASHI เปิดเผยถึงความสำเร็จทางยอดจำหน่ายผ้าเบรกแบรนด์ต่าง ๆ ปีที่ผ่านมาว่า มียอดจำหน่ายที่ 820 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2554 แบ่งเป็นตลาดภายในประเทศ (ตลาดทดแทน) 70% ตลาด OES 10% (ป้อนศูนย์บริการรถยนต์แบรนด์ต่างๆ) และตลาดต่างประเทศประกอบด้วย มาเลเซีย อินโดเซีย ออสเตรเลีย และภูมิภาคตะวันออกกลางอีก 20% ขณะที่แผนการขยายตลาดต่างประเทศใหม่ๆ ทั้งที่รัสเซียและบราซิลยังเป็นไปตามแผนธุรกิจที่กำหนดไว้ภายใน 3-5 ปีนับจากนี้ รวมถึงการตั้งโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมเมืองทวาย ประเทศพม่า เพื่อรองรับการเปิดตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ภายในปี 2558

Compact Road Show ยิ่งใหญ่ทั่วไทย


จากการเติบโตทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับพันธกิจของ “คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994)” ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ผ้าเบรกไร้ใยหิน ภายใต้เทคโนโลยี NAO (Non Asbestos Organics) จึงมีนโยบายเพิ่มขีดความสามารถทั้งเชิงรุกและเชิงรับในกระบวนการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ในทุกภาคส่วน ด้วยการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกมาเป็นที่ปรึกษาของบริษัท ประกอบด้วย Mr.Takagi Teiji ผู้ชำนาญการด้านสูตรเคมีผ้าเบรก ที่มีชื่อเสียงจากประเทศญี่ปุ่น, Mr.Mike Hibbert ผู้ชำนาญการด้านสูตรเคมีผ้าเบรกที่มีชื่อเสียงจากยุโรป เคยร่วมพัฒนาสูตรผ้าเบรกรถบรรทุกในยุโรปมากว่า 20 ปี และ Mr.Marvin Weintraub ผู้ชำนาญการด้านสูตรเคมีผ้าเบรกที่มีชื่อเสียงจากสหรัฐอเมริกา อดีตประธานสมาพันธ์ความปลอดภัยโลก ประสบการณ์ทำงานจาก ฟอร์ด มอเตอร์ และประธานจัดงาน SAE หรืองานวิชาการเกี่ยวกับเบรกโดยตรง รวมถึงการนำเข้าเครื่องทดสอบประสิทธิภาพการเบรกจากอเมริกาที่จะทำให้เรามั่นใจในประสิทธิภาพของสินค้าที่ผลิตออกสู่ตลาด ทั้งนี้ เพื่อมุ่งให้ผู้บริโภคสามารถสัมผัสถึงประสิทธิภาพของผ้าเบรกไร้ใยหินของบริษัทได้อย่างชัดเจน และเป็นการต่อยอดการทำตลาดในอนาคต เพื่อรับมือกับการเปิดเขตการค้าเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ (AEC) ในปี 2558 และการทำตลาดต่างประเทศโดยรวม

“จากนี้ไปผู้บริโภคชาวไทยจะมีสิทธิ์ในการเลือกใช้ผ้าเบรกที่มีคุณภาพ และมีความเหมาะสมต่อรถยนต์ที่ใช้อยู่ สะท้อนถึงขีดความสามารถในการผลิตผ้าเบรกไร้ใยหินของบริษัทที่มีคุณภาพทัดเทียมแบรนด์ดังๆ ระดับโลกที่สามารถให้ความคุ้มค่าคุ้มราคา อีกทั้งปลายปี 2555 ที่ผ่านมา ความต้องการผ้าเบรกของบริษัทมีสูงกว่ากำลังผลิตกว่า 1-1.5 ล้านชุดในทุกกลุ่ม ทำให้กำลังผลิตทั้งที่โรงงานจังหวัดเพชรบุรีและมหาชัยที่มีรวมกัน 4 ล้านชุดต่อปีไม่เพียงพอ บริษัทจึงเร่งขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่สองนี้ ณ โรงงานจังหวัดเพชรบุรี โดยใช้งบลงทุนเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้น 30% หรือราว 1.5 ล้านชุด และสามารถเพิ่มได้ถึง 1.5 ล้านชุดหรือ 50% ของกำลังผลิตในปัจจุบัน ซึ่งในปี 2556 บริษัทตั้งเป้าขายไว้ที่ 1,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นราว 20% จากปีที่ผ่านมา มั่นใจว่ายอดขายรถยนต์ในตลาดเมืองไทยปี 2555 ที่มีจำนวนร่วม 1.6 ล้านคัน บวกกับรถยนต์เก่าที่ยังใช้งานอยู่นับ 10 ล้านคัน จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้อย่างแน่นอน”

Compact Road Show ยิ่งใหญ่ทั่วไทย


นายพัฒนะ อิสระพิทักษ์กุล กล่าวต่อว่า เพื่อให้ยอดขายบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งเป้าไว้ จึงทุ่มงบประมาณเบื้องต้นอีกไม่น้อยกว่า 35 ล้านบาท เพื่อใช้สื่อสารทางการตลาดผ่านการประชาสัมพันธ์สื่อต่างๆ รวมทั้งจัดโปรโมชั่นกับร้านค้าผู้แทนจำหน่ายและผู้บริโภค โดยเฉพาะการจัดกิจกรรม Compact Road Show ขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์บริษัท ตราสินค้า และผลิตภัณฑ์ ภายใต้เทคโนโลยี NAO (Non Asbestos Organics) ด้วยฝีมือของไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค นอกจากนี้ยังจัดทำป้ายตราสัญลักษณ์ “COMPACT” ขนาดต่างๆ นำไปติดตั้งที่ร้านค้าผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ พร้อมดูแลการเสียภาษีป้ายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยตั้งเป้าติดตั้งให้ครบ 5,000 ร้านค้าฯ ที่เป็นตัวแทน และภายใน 2 ปีจากนี้ก่อนเปิด (AEC) จะติดให้ครบ 20,000 ป้าย

“กิจกรรม Compact Road Show ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัท โดยโรดโชว์นี้ใช้ชื่อว่า Pause For Safety (ติดเบรกหื้อคนเมือง) จัดขึ้นระหว่าง 15-17 มีนาคมนี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล แอร์พอร์ต เชียงใหม่ เป็นแห่งแรก ต่อจากนั้นจะเดินทางไปจัดที่ขอนแก่น ภูเก็ต และชลบุรี ภายใต้คอนเซ็ปต์ Pause For Safety คือ “หยุดอย่างปลอดภัย มั่นใจในผ้าเบรก” เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและขยายฐานลูกค้าไปสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อต่อยอดธุรกิจให้ร้านค้าผู้แทนจำหน่าย พร้อมทั้งทำกิจกรรมเพื่อสังคม ด้วยการมอบผ้าเบรก “COMPACT” ให้เทศบาลนครเชียงใหม่ นำไปใช้ในการปฏิบัติราชการ จำนวน 100 คัน”


Aston Martin DB9 ยังคงหรูหราแต่เพิ่มความดุดัน


Aston Martin DB9


Aston Matin เปิดเผยรายละเอียดล่าสุดของ DB9 โมเดลปี 2013 ที่ยังคงความเป็น British Luxury Sports GT ไว้อย่างครบถ้วน ส่วนความเปลี่ยนแปลงของโมเดลใหม่นี้เกิดขึ้นในรายละเอียดตัวรถ เช่น ไฟหน้าที่เปลี่ยนเป็น Bi-Xenon เพื่อการส่องสว่างที่ชัดเจน เติมความดุดันลงไปด้วยดีไซน์กระจังหน้าแบบใหม่ที่วางต่ำ และกว้างขึ้น เพื่อรับลมไประบายความร้อนระบบเบรคคาร์บอนเซรามิคได้มากขึ้น เพิ่มมิติความกว้างของตัวรถขึ้นอีกสเต็ปด้วยการติดตั้ง Splitter ด้านล่างใต้กันชนหน้า ซึ่งทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ อันเป็นส่วนหนึ่งของชุดพาร์ท Carbon Pack โดยนอกจาก Splitter ด้านหน้าแล้ว ยังมี Diffuser หลัง, ครอบกระจกมองข้างคาร์บอน และท่อไอเสียโทนสีดำ ส่วนภายในห้องโดยสารก็จะประกอบด้วยแผงคอนโซลต่างๆ แป้นเปลี่ยนเกียร์ และมือจับเปิดประตู

ขยับเข้ามามองใกล้ๆ ในมุมมองด้านหน้าจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดูดุดันขึ้นด้วยชุดกันชนหน้าแบบใหม่ กับชิ้นงานการดีไซน์กระจังหน้านั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Hyper Car พันธ์หายากอย่าง One-77 เช่นในส่วนการวางลวดลายของกระจังหน้า ฝากระโปรงหน้าแบบเจาะช่องระบายอากาศ แก้มหน้าเจาะช่องระบายอากาศดีไซน์ใหม่ที่ติดตั้งชุดไฟ LED มาให้ในตัว ส่วนด้านหลังจะสังเกตเห็นถึงความกว้าง และมัดกล้ามที่เพิ่มขึ้นเพื่อสื่อสารถึงพละกำลังที่จะส่งผ่านไปยังล้อหลัง ซึ่งในส่วนของล้ออัลลอยด์นี้ไปเปลี่ยนไปใช้ชุดใหม่ขนาด 20 นิ้ว ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน

Aston Martin DB9


Aston Martin DB9

ภายในเรียบร้อย และหรูหราตามสไตล์ Aston Martin อัดแน่นไปด้วยการตกแต่งจากวัสดุหนังคุณภาพสูงเฉกเช่นเดียวกับรุ่น Virage ผลิตและทำขึ้นด้วยคุณภาพงานฝีมือล้วนๆ สวิทช์ควบคุมภายในห้องโดยสารงดงามโดยเฉพาะสวิทช์เกียร์ที่ทำมาจากแก้วเจียระไนจนมีลักษณะคล้ายเพชร มีออพชั่นให้ลูกค้าเลือกจ่ายเพิ่มเป็นเบาะนั่งสปอร์ตน้ำหนักเบา Aston Martin’s Lightweight Seats ที่ผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ และเคฟล่าห์ ซึ่งเบาะนั่งทั้ง 2 ตัวจะมีน้ำหนักเพียง 17 กก. ทั้งยังออกแบบให้รองรับหลัง และไหล่ ช่วยให้นั่งสบายมากยิ่งขึ้น โดยไม่เสียทัศนวิสัยและอารมณ์ในการควบคุมสไตล์สปอร์ต ทางด้านพละกำลังนั้นมากับเครื่องยนต์ทรงพลังเจนเนอเรชั่นล่าสุด แบบ V12 ให้กำลังสูงสุดที่ 517 PS พร้อมแรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร ผลพวงจากการปรับปรุงเสื้อสูบ, ฝาสูบ, ระบบวาล์วแปรผันคู่ Dual Variable Valve Timing ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น อัพเกรดปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ และท้ายสุดคือการจัดการกับท่อร่วมทางเดินไอดี และห้องเผาไหม้ซะใหม่

Aston Martin DB9


ระบบเบรกของ Aston Martin DB9 ใช้แบรนด์ Brembo เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเลือกใช้แบบ CCM – Carbon Ceramic Matrix ทั้งในส่วนของดิสก์เบรก และคาลิปเปอร์เบรก ขนาดจานหน้า 398 มม. ด้านหลัง 360 มม. พร้อมระบบ ADS – Adaptive Damping System ที่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ได้ 3 สไตล์คือ Normal, Sport และ Track โดยในโหมด Normal ชุดโช๊คอัพอิเล็คทรอนิกส์จะปรับเซ็ทให้นุ่มนวลขับขี่สะดวกสบายโดยอัตโนมัติ ในขณะเดียวกันเมื่อเปลี่ยนเป็นโหมด Sport ชุดโช๊คอัพจะปรับหนืดมากขึ้น ระบบพวงมาลัยปรับให้ควบคุมได้อย่างเฉียบคมขึ้น สุดท้ายคือโหมด Track มีไว้สำหรับจัดหนักในสนามแข่งเพื่อความสะใจ



วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รถใหม่ Renault Clio RS 200 EDC อีกระดับของความสปอร์ต


Renault เปิดตัวโมเดลใหม่ล่าสุดในอนุกรม Clio RS 200 ในเวอร์ชั่น EDC ที่พัฒนาขึ้นอีกระดับโดยเน้นสมรรถนะให้มีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น จากการเปลี่ยนไปใช้คลัทช์คู่ และ อัพเกรดพละกำลัง 1.6ลิตรเทอร์โบขึ้นไปเป็น 200 แรงม้า

รถใหม่ Renault Clio RS 200 EDC


รถใหม่

Renault Clio RS 200 EDC รายละเอียดภายนอกที่ถูกปรังแต่งขึ้นใหม่บนพื้นฐานเดิมนั้นประกอบไปด้วยชุดกันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้างที่ออกแบบขึ้นใหม่ โดยเฉพาะกันชนหลังที่ดีไซน์ให้มี Diffuser หลังในตัว และรับกับท่อไอเสียทรงเหลี่ยมซ้าย-ขวา รวมถึงชุดล้ออัลลอยด์ขนาดใหญ่ 17 นิ้ว สีเทา Silver Grey “Tibor” ซึ่งทางต้นสังกัดจัดเตรียมความสปอร์ตไว้ให้อีกระดับด้วยล้อขนาด 18 นิ้ว สีดำ Gloss Black และ Dark Gun Metal เอาไว้ให้เลือกจ่ายเงินเพิ่มอีกด้วยเช่นกัน ส่วนชุด Aerodynamic Part ที่ติดตั้งเข้าไปนั้นได้ผ่านการออกแบบจากอารยกรรมของรถสูตร 1เพื่อให้มีศักยภาพสูงสุด โดย Diffuser หลังนั้นสามารถสร้างแรงกด Downforce ได้มากถึง 80% และอีก 20% นั้นเกิดจากสปอยเลอร์หลัง สำหรับในด้านหน้าหล่อล่ำด้วยกระจังหน้าที่มาพร้อมสัญลักษณ์ R.S. วางตำแหน่งใต้โลโก้ Renault ติดตั้งไฟ Daytime Runing Light แบบ LED ไว้บริเวณช่องดักอากาศกันชนหน้า


ภายในห้องโดยสารเน้นโทนสีดำเป็นหลัก และเพิ่มความโดดเด่นด้วยสีแดงในรายละเอียดต่างๆ เพื่อเน้นอารมณ์ของความเป็นสปอร์ตขึ้นอีกระดับ เช่น แผงประตู พวงมาลัย หัวเกียร์ คอนโซลเกียร์ กรอบช่องแอร์ เข็มขัดนิรภัย และยังรวมถึงการเดินด้านแดงในส่วนของงานเย็บทั่วทั้งห้องโดยสารอีกด้วยเช่นกัน ใส่ความแตกต่างให้กับแป้นเปลี่ยนเดียร์หลังพวงมาลัยด้วยสีโทนโลหะ Dark Metal เช่นเดียวกับพื้นหลังของมาตรวัด สำหรับเบาะนั่งนั้นดีไซน์สไตล์ Bucket Seat ที่เน้นความสบายเป็นหลัก และยังโอบกระชับรับสรีระด้วยการออกแบบให้ส่วนปีกด้านข้างที่สูง และสวยสปอร์ตด้วยการหุ้มหนังเดินด้ายแดง สุดท้ายคอนโซลกลางโดดเด่นด้วยวัสดุสีดำเงาแบบ Black Lacquer ตัดขอบด้วยโครเมี่ยม

รถใหม่ Renault Clio RS 200 EDC


หัวใจหลักแห่งสมรรถนะ คือ เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ คลัทช์คู่ เกียร์ 6 สปีด EDC ที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นใหม่โดยแผนก Renault Sport Technologies ส่วนพละกำลังที่ซุกซ่อนไว้ก็อยู่ในระดับ 200 แรงม้า พร้อมแรงบิด 240 นิวตันเมตร พร้อมถ่ายทอดพละกำลังเต็มอัตราด้วยตัวเลขจาก 0-100 กม./ชม. ใน 6.7 วินาที ทะยานไปถึง 1,000 ม. ได้ใน 27.1 วินาที และมี Top Speed สูงสุดเหยียบได้ถึง 230 กม./ชม. และไม่ใช่เพียงแค่ขุมพลังเท่านั้นที่ผ่านการอัพเกรดมา เพราะทาง Renault Sport ยังได้ลงมือปรับปรุงแชสซีร์ใหม่โดยพยายามเน้นองค์ประกอบหลัก คือ นุ่มนวล ตอบสนองเฉียบคม ยึดเกาะถนนเนเยี่ยม และหยุดยั้งได้อย่างมั่นใจ ซึ่งระบบช่วงล่างที่ใช้นั้นยังคงเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท แต่มีการปรับเซ็ทให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อรองรับสมรรถนะที่สูง และล้อที่มีขนาดใหญ่ จึงทำให้ต้องเปลี่ยนไปใช้โช๊คอัพ และลูกปืนโช๊คอัพที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับระบบเบรกที่อัพเกรดขนาดจานดิสก์ด้านหน้าขึ้นไปเป็น 320 มม. ขนาดเท่ากับ Renault Laguna V6 สำหรับช่วงล่างด้านหลังนั้นเปลี่ยนไปใช้เหล็กกันโคลงที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 60% เพื่อเน้นความแข็งแกร่ง ส่วนจานเบรกหลังอัพไซส์เป็น 260 มม. ทั้งยังติดตั้งระบบล็อคเฟืองท้ายแบบอิเล็คทรอนิคส์มาให้เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่

รถใหม่ Renault Clio RS 200 EDC


สำหรับผู้ที่ยังคิดว่า รถใหม่ Renault Clio RS 200 EDC ยังให้ความสปอร์ตได้ไม่สะใจพอ ทางต้นสังกัดยังมีออพชั่นเสริมให้เสียเงินเพิ่มกับชุดช่วงล่างแบบ Sport และแบบ Cup ให้เลือก ซึ่งแบบ Cup นั้นจะสปอร์ตแบบสุดขั้วด้วยการปรับลดความสูงลงมาให้อีก 3 มม. เซ็ทช่วงล่างให้แข็งขึ้นอีก 15% และระบบพวงมาลัยตอบสนองฉับไวขึ้นอีกระดับ มีโหมด R.S. Drive ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 3 ระดับ คือ Normal, Sport และ Race เสริมด้วยระบบ Launch Control ช่วยเพิ่มความเร้าใจยามออกสตาร์ทด้วยการล็อครอบเครื่องยนต์เอาไว้ที่ 2,500 รอบต่อนาที